SLEEPING CHILD “Sleeper” Style MR2 765 hp Full Step – R SPEC 2 Present

 

เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี

ภาพ : ธัญญนนท์ แสงภู่ (TakeSnap)

SLEEPING CHILD

“Sleeper” Style MR2 765 hp Full Step

R SPEC 2 Present

นานๆ จะมาทีสำหรับ TOYOTA MR2 SW20 ที่เป็นรถสปอร์ตยอดฮิตในยุค 90 ซึ่งตอนนี้กลับมาโด่งดังกันอีกครั้ง เนื่องจากมีบุคลิกพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล ด้วยความที่เป็นรถเครื่องวางกลางลำคำว่า MR2 ย่อมาจาก Mid-Engine + Run About + 2-Seaters หรือ Mid-Ship + Rear Wheel Drive + 2-Seaters ก็ย่อมได้ จึงมีบุคลิกหลายอย่างที่ไม่เหมือนกับรถแบบ FR หรือ เครื่องหน้า ขับหลัง แบบปกติ ซึ่งหลายคนก็ว่ามันขับยากเพราะหน้าเบา รวมถึงการเซอร์วิสในบางจุดที่จะต้องรู้ทรงเพราะการวางตำแหน่งอุปกรณ์หลายอย่าง มันก็ไม่เหมือนรถแบบปกติ คันนี้มาในแบบใสๆเน้นความดั้งเดิมในแบบ “90’s” แต่ด้านในทรงเครื่องแบบเต็มพิกัดด้วยการ Modified & Custom ที่เป็นเอกลักษณ์ของรุ่งแห่ง R SPEC 2 ซึ่งรถคันนี้ นอกจากจะแรงด้วยพละกำลังถึง 765 hp แล้ว ก็ยังทำให้ขับใช้งานได้อย่างปกติสุขอีกด้วย แต่บอกก่อนนะ มันไม่ใช่แค่ทำแรงม้าให้เยอะ แต่ยังทำให้มันเรียบร้อยเหมือนรถเดิมรวมถึงเทคนิคการสร้างของโมดิฟายอีกมากมาย ดูจะง่าย แต่ไม่มีอะไรง่ายหรอกนะ รับรองคันนี้สะใจคนรัก MR2 แน่นอน

แรงอย่างเดียวไม่ยาก แต่แรงแล้วเรียบร้อยทุกอย่างไม่ง่าย

ต้องทำความเข้าใจกันก่อน ถ้าคุณมีรถแล้วต้องการเพียงความแรงสะใจไม่สนเสียงดัง ไม่สนความสบาย ยอมทนขับยาก หนัก เหนื่อย ร้อน เอาไว้แค่ขับเล่นกลางคืนที่รถโล่งๆ เพียงอย่างเดียว ไม่สนเรื่องตัดเฉือนรถ ประมาณว่าใส่เข้าไปให้ได้พอแบบนี้ถือว่าง่ายเพราะสามารถทำได้ตามใจฉันเต็มที่ แต่ถ้าคุณต้องการรถที่แรงมากๆ แต่ต้องใช้งานได้ปกติ ขับสบาย ไม่เหนื่อยรวมไปถึงความเรียบร้อยในการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ให้เรียบเนียนไปกับความเดิมของรถแบบนี้ต้องคิดให้เยอะแน่นอน เพราะการทำระบบต่างๆ ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้แต่ต้องคำนึงทั้งความสวยงาม ความเรียบร้อย เซอร์วิสง่าย ไม่รุงรัง ทุกสิ่งอย่างต้องลงตัว ดูเผินๆ รถเรียบๆ ไม่มีอะไร คิดว่าทำง่ายนะ แต่ยิ่งเนียน ยิ่งทำยากและนี่เป็นเหตุที่เรานำเสนอเจ้า MR2 คันนี้ไงครับ

รู้ก่อนแรง!!!

อย่างที่บอกไปว่า MR2 เป็นรถเครื่องวางกลางลำ ดังนั้น มันจึงมีทั้งข้อดีและข้อเสียเป็นปกติสากล แต่ทุกสิ่งอย่างต้องแก้ไขในเบื้องต้น เราลองมาดูจริตของรถรุ่นนี้กัน… 

ข้อดี

ข้อเสีย

อินเตอร์แยก แบบไม่เจาะรถ

โดยปกติ MR2 ที่โมฯ แรงม้ามากๆ เทอร์โบใหญ่ๆ ก็จะต้องเอาอินเตอร์ฯ มาไว้ที่ห้องเก็บของท้ายรถ ต้องเปลี่ยนฝาท้ายเป็นแบบมีรูดักลม (ฝาท้ายส่วนที่เป็นห้องเก็บของนะครับ MR2 จะมีฝา 2 ส่วน อีกส่วนจะเป็น ฝากระโปรง ปิดเครื่องยนต์) และต้องตัดพื้นฝาท้ายเพื่อระบายลมตรงนั้นก็ต้องยอมเสียพื้นที่ให้อินเตอร์ฯ ไปเลย แต่คันนี้เจ้าของรถทำใจไม่ได้ที่จะตัดพื้นรถ ทางออกของ R SPEC 2 ก็คืออินเตอร์ฯ ห้อยใต้รถเพื่อเอาลมจากใต้ท้องรถมาเป่า แล้วใช้พัดลมไฟฟ้า” 2 ตัว ช่วยกันดูดลมขึ้นด้านบน (ในกรณีที่รถวิ่งไม่เร็วมากนัก กระแสลมจะน้อย) ซึ่งชุดอินเตอร์ที่ใส่อยู่นี้ จะเป็นของ BLITZ ที่ GARAGE ACTIVE ที่เป็น MR2 Specialist เป็นผู้สั่งทำขึ้นมา เป็นชุด Kit สำหรับ MR2 โดยตรง แต่ตอนนี้ก็ยังพอได้ซึ่งในอนาคตจะต้องทำ Diffuser ใต้ท้องรถ  เพื่อรีดและจัดกระแสลมให้เป็นระเบียบมากขึ้น นอกจากจะเป่าอินเตอร์ได้เต็มๆ แล้ว ยังได้เรื่อง Down force (แรงกด) เพิ่มขึ้นอีก เพราะเราไล่ลมออกจากใต้ท้องได้เยอะ ทำให้ไม่เกิด Lift Force จากแรงลมวนใต้ท้องรถให้เสียวเล่นตอนความเร็วระดับ 200 ++ นั่นเอง

ปั๊มติ๊กใหญ่ ขอไม่ดัง ไม่ถัง

เมื่อโดนไฟต์บังคับจากเจ้าของรถที่ต้องการความเรียบเดิมสไตล์ 90’s ให้มากที่สุด งานนี้รุ่งจึงต้องคิดเยอะกว่าปกติ เพราะอย่างที่รู้ว่าแรงม้าระดับ 700 ++ มันเป็นเรื่องยากที่ทำให้เงียบโดยเฉพาะเรื่องปั๊มติ๊กนี่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ เพราะต้องใช้ตัวใหญ่ แรงดันและอัตราการไหลที่สูง มันจึงดังน่ารำคาญ ถ้าใส่ถัง A ก็ต้องเดินสายเพิ่ม เจาะตัวถังรถเพื่อร้อยสายน้ำมัน แถมยังเสี่ยงต่อเหม็นน้ำมันอีก ถ้าเป็นสายซิ่งก็ต้องทนยอมรับมัน แต่ลูกค้ารายนี้ไม่ชอบ  ทั้งเสียงดัง ความรุงรัง กลิ่นต้องไม่มี ทุกอย่างต้องเหมือนรถเดิม ดังนั้น จึงต้องวางระบบน้ำมันใหม่ให้เหมือนสแตนดาร์ด แต่ต้องรับแรงม้าระดับ 700 ++ ได้ด้วย เอาละสิ!!! ในส่วนของการวางระบบน้ำมันแบบ Advance ของคันนี้ มีรายละเอียดประมาณนี้ครับ

ถังน้ำมันของ MR2 เป็นทรงผอมๆ ยาวๆ ตามแนวด้านขวางของตัวรถ ซึ่งเนื้อที่ตัวรถจะแคบมาก จะสร้างใหม่ก็คงยากมาก เพราะทรงมันแปลกประหลาดจริงๆ ไม่เหมือนรถทั่วไปที่เป็นทรงเหลี่ยมง่ายๆ ดังนั้น จึงต้องหาวิธีการสะเวิ้บเอาปั๊มติ๊กโมดิฟายลงไปแทนของเดิมให้ได้ จึงต้องสร้างฐานยึดปั๊มติกที่ถังใหม่โดย CNC ขึ้นรูป เพื่อให้ยึดปั๊มได้ ขนาดของท่อน้ำมันก็ขยายใหญ่  เป็นขนาด AN8 หรือประมาณสามหุน” (3/8 นิ้ว) ทีเดียวไปเลยให้พอกิน และหย่อนเข้าไปในถังเดิม รวมไปถึงการสร้างตัวกักน้ำมันกันกระฉอกใหม่ เพราะคันนี้ไม่ต้องการถัง A” หลังจากที่ทำแล้ว ปั๊มติ๊กเงียบเหมือนรถเดิม แต่ห้ามปล่อยให้น้ำมันในถังเหลือน้อยเป็นอันขาด ควรจะมีครึ่งถังขึ้นไปเพื่อถนอมปั๊มติ๊ก ลดความร้อนและเสียง ไม่ให้ปั๊มพังไวครับ

ห้องเครื่องงามสุด เน้นโล่ง แบบเจ้าของเซอร์วิสเองได้

เดี๋ยวนี้นิยมห้องเครื่องบลูทูธที่ซ่อนสายไฟ ซ่อนอุปกรณ์ต่างๆ แบบมิดชิดเพื่อโชว์ความเนียนของสีและห้องเครื่อง แต่จะมีปัญหาเรื่องเซอร์วิสยากประมาณว่าจะเติมน้ำมันนู่นนี่นิดเดียว ต้องรื้อรถถ้าสายโชว์ละก็ได้ แต่คันนี้สายใช้ขับทางไกลประจำด้วย ต้องทำให้เจ้าของรถเซอร์วิสได้ง่ายด้วย ส่วนอุปกรณ์ของซิ่งที่สร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด จะเน้นความพอดี ติดตั้งแบบห้ามไปบดบังอย่างอื่นจึงทำให้การเซอร์วิส ถอดใส่ ทำได้ง่าย รวดเร็ว และไม่รกรุงรัง

Power Band กว้าง มาเต็มทุกช่วง

Max Power : 765.6 hp @ 6,800 rpm

Max Torque : 87.65 kg-m @ 5,850 rpm

สำหรับเส้นกราฟ ใน Run ที่ได้กำลังสูงสุด กราฟแรงม้าจะเป็นเส้นทึบสีเขียวเข้มถือว่าไม่รอรอบเลยในช่วง 4,500 rpm มีแรงม้า 300 hp กันแล้ว ช่วงนี้เหมือนกำลังติดบูสต์กราฟขึ้นชันทีเดียว แรงม้าโดดมาก ในช่วง 5,000 rpm ม้าดีดขึ้นไป 550 hp ความต่างเพียงแค่ 500 rpm แต่ได้มาอีก 250 hp ช่วง 5,500 rpm มีแรงม้าถึง 650 hp ช่วง 5,700 rpm ได้แรงม้า 700 hp แล้วกราฟก็นอนยาวไป ได้แรงม้าสูงสุด 765.6 hp ที่ 6,800 rpm ถือว่าใช้รอบน้อยสำหรับเครื่อง 4 สูบ 2.0 ลิตร หลังจาก 7,500 rpm กราฟก็เริ่มโรยตัวลงเล็กน้อย จนถึง 8,000 rpm ก็หยุดการทดสอบ แต่แรงม้าก็ยังอยู่ในระดับ 700 hp ซึ่งลากไปมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

สำหรับกราฟแรงบิด จะเป็นเส้นประผมขอสรุปเลยแล้วกัน เพราะไม่งั้นได้ไฝว้กับอ้อย คลองแปดแน่ๆ ในช่วง 5,000-6,600 rpm แรงบิดมาเต็มในระดับ 80 kg-m !!! ถือว่ามากมายในเครื่องความจุเท่านี้ (ในรูปเป็นหน่วยปอนด์ฟุตแต่ผม Convert มาเป็นกิโลกรัมเมตรเพราะทุกคนจะคุ้นเคยกว่า) ตรงนี้จะเน้นมากๆ เพราะเวลาเปลี่ยนเกียร์ที่ 8,000 rpm อย่างคันนี้เป็นเกียร์เดิม เปลี่ยนเกียร์แล้วรอบจะตกมาแถวๆ นี้พอดี ทำให้ต่อเกียร์ได้โดยไม่ห้อยแต่ต้องคุมดีๆหน่อย เพราะแรงบิดขนาดนี้มีพยศต้องคุมดีๆ เลยละครับ

สิ่งที่แสดงออกของคันนี้ คือแรงม้ามาดีส่วนแรงบิดมหาศาลนำหน้าแรงม้าไปอีก และที่สำคัญ “Power Band กว้างแถมไม่ต้องเค้นรอบสูงอีกด้วย มีให้ใช้เต็มๆ ตั้งแต่ 5,300 rpm ไปจนถึง 8,000 rpm เรียกว่าเปลี่ยนเกียร์ยังไงก็ไม่หลุดช่วงกำลังแน่นอน สิ่งหนึ่งที่พอทราบมา ทาง R SPEC 2 จะเน้นเครื่องที่กำลังอัดสูงสักหน่อย เพื่อให้ไม่รอรอบและไม่ต้องเค้นบูสต์กับรอบเครื่องมากมายนักการตอบสนองก็จะดี ไม่บื้อในรอบกลาง แบบนี้ขับมันส์แน่นอนครับ

Comment : R SPEC 2

คันนี้ถือว่าเป็นความท้าทายของผม โดยปกติก็จะทำแบบที่คุ้นเคย แนวซิ่งวิ่งแดร็กแต่ครั้งนี้เจ้าของรถให้การบ้านมาอย่างที่บอกไปในเนื้อเรื่อง ซึ่งเราต้องคิดและทำให้อย่างรัดกุมที่สุด รวมไปถึงการขับขี่ใช้งานปกติได้ด้วย รถคันนี้เจ้าของรถวิ่งออกทางไกลเป็นประจำ เราต้องทำให้รถมีความทนทาน ไม่มีปัญหา และพยายามแก้จุดอ่อนของ MR2 จากประสบการณ์ที่มี คันนี้ก็กะจะไปวิ่ง Souped Up ปลายปีนี้ด้วยนะครับ ก็ต้องขอขอบคุณ เจ้าของรถ, โกดังกอล์ฟ และ JM SLIDE ON รวมถึงทุกคนที่มีส่วนร่วมกับรถคันนี้ รวมไปถึง XO autospport ที่ให้การสนับสนุนด้วยนะครับ

Comment : อินทรภูมิ์ แสงดี

รถคันนี้อาจจะดูเรียบๆ ไม่เตะตาในครั้งแรกชม แต่ถ้าลองดูกันดีๆ แล้ว จะเห็นถึงความตั้งใจของเจ้าของรถ และทีมงานทุกคน ความเรียบร้อย การเก็บรายละเอียดต่างๆ ทำได้ดี สวยงาม สไตล์รถสปอร์ตยุค 90 ที่เน้นความเรียบ และสีสันที่โดดเด่น แต่ยังอยู่ในโทน ยิ่งมาเจอล้อตรงยุคก็ยิ่งจะเก้าศู้นย์ เก้าศูนย์กันใหญ่ ส่วนในเรื่องของการโมดิฟาย ตอนแรกผมก็ปวดกบาลว่าจะเอาอะไรมานำเสนอดีนะ เพราะรถมันไม่ได้มีของเยอะอลังการ แต่ลองเจาะรายละเอียดการทำของรุ่ง” R SPEC 2 แล้ว มันเยอะแบบที่เราคิดไม่ถึง พวกนี้ต้องทำการบ้านมาดีๆ ในส่วนของพละกำลังก็อย่างที่บอกครับ มีให้ใช้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย รถแรงจริงๆ ไม่ใช่มีแค่ค่าตัวเลขครับ ท้ายสุด ก็ต้องขอขอบคุณ เจ้าของรถ, R SPEC 2 และโกดังกอล์ฟ (Goffy Naraka) ไว้ ที่นี้ ด้วยครับ

X-TRA ORDINARY

MR2 SW20 จะมีตัวแข่งที่พิเศษล้ำลึกที่คนทั่วไปอาจจะไม่รู้จัก คือ SARD MC8-R ซึ่งเป็นการผลิตขึ้นมาเพื่อแข่งในรุ่น GT1 ที่จะเป็นรถพิเศษทรงแปลก เรียกว่าแทบจะไม่เดิมกันเลย  โดยใช้เครื่อง 1UZ-FE Twin Turbo มีแรงม้า 600 hp ผลิตมาเพื่อลงแข่ง GT Racing Series, 24 hours of Le Mans, 1000km Suzuka และแน่นอนว่าจะต้องมี Road Car เวอร์ชันวิ่งถนน ที่ผลิตมาตามกฎข้อบังคับของการแข่งขันรุ่น GT1 ตอนที่กำลังผลิตก็ออกสู่สายตาประชาชนครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็หายไป จนกระทั่งในปี 2015 เจ้า SARD MC8-R Road Car คันนี้ก็โผล่มาอีกทีในเว็บไซต์ SEiyaa ที่โชว์และขายรถสะสมในญี่ปุ่น หลังจากนั้นไม่นาน คันนี้ก็หายไปจาก Entry List ของ SEiyaa อีกครั้ง แน่นอน ว่ามันต้องไปอยู่ในมือนักสะสมรถระดับอัครที่ไม่เปิดเผยตัวตน

Contact

R SPEC 2 : Facebook/Rungsub Rspectwo, Tel. 08-1903-1440

TECH SPEC

ภายนอก

Body Part : Ver.3 Model Year 1994-1995 

งานสี : MC Color Factory

ภายใน

เกจ์ : Defi Super Sport Cluster 02

พวงมาลัย : NARDI

เบาะ : RECARO SR3 Limited 30 Fabric RECARO in Japan

หัวเกียร์ : HKS

ปุ่มกดเบรกมือ : HKS

ปรับบูสต์ : GReddy Profec B Spec 2

แผงประตู : Ver.5 Model year 1998-1999

เครื่องยนต์

รุ่น : 3S-GTE

ฝาสูบ : R SPEC 2

นอตฝาสูบ : ARP

แคมชาฟต์ : KELFORD

เฟืองแคมชาฟต์ : HKS

สายพานไทมิ่ง : HKS

สปริงวาล์ว : SUPERTECH

รีเทนเนอร์ : SUPERTECH

วาล์ว : BC 1 mm. Oversize

ปะเก็นฝาสูบ : Cometic

ลูกสูบ : Arias 87.0 mm.

ก้านสูบ : Eagle

แบริ่งชาฟต์ : Calico

นอตประกับเมน : ARP

ปลอกไลน์เนอร์ : DARTON SLEEVE by เดี่ยว Yannakron Muangthep

เทอร์โบ : PRECISION

อินเตอร์คูลเลอร์ : BLITZ by GARAGE ACTIVE

เฮดเดอร์ และงานท่อไทเทเนียมทั้งหมด : เอ๋ Weldtec

พ่นเซรามิกกันความร้อน : RC-TURBO

พ่นสีฝาวาล์ว : ORT

เวสต์เกต : HKS GT-II

ท่อไอดี  : R SPEC 2 Custom

ถังดักไอ : R SPEC 2 Custom

หม้อพักไอเสีย : BULLET Titanium

หัวฉีด : HOLLEY 1,600 c.c.

รางหัวฉีด : SARD

ตัวปรับแรงดันเชื้อเพลิง : Aeromotive

ปั๊มติ๊ก : Walbro 525 l. for E85

วายริ่งสายไฟ : นัท วายริ่ง

คอยล์ : HONDA K20A

Map Sensor : HKS 3 bars

ตัวจับองศาจุดระเบิด : R SPEC 2 Custom

หม้อน้ำ : R SPEC 2 Custom

วาล์วน้ำ : SARD 68 c.

ฝาเติมน้ำมันเครื่อง และ ฝาหม้อน้ำ : HKS

กล่อง : HKS F-CON V PRO by ตู่ โคราช

ระบบส่งกำลัง

คลัตช์ : R SPEC 2 Custom 3 Plates

ลิมิเต็ดสลิป : TRD

ระบบช่วงล่าง

โช้คอัพ : ARAGOSTA Sub Tank

ค้ำยันหม้อลมเบรก : CUSCO

ล้อ : VOLK GT-N Gold Forged ขนาด 7 x 17 นิ้ว และ 9 x 17 นิ้ว

ยาง : TOYO PROXES R1R ขนาด 225/45R17 และ 245/45R17

*เพื่อความสะดวก กรุณาดู Video ผ่าน Google Chrome