Story of R33 : เจาะลึก “เส้นขอบฟ้า” ที่โลกลืม

 

เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี

ภาพ : www.r33gt-r.com, www.gtr-registry.com, www.google.com

SKYLINE GT-R “R33” Full Story (Part I)

ปฐมบทเจาะลึกเส้นขอบฟ้าที่โลกลืม

กลับมาพบกันกับวาระปกตินะครับ กับ Reed It More ที่ครั้งนี้จะขอเสนอเรื่องราวของ SKYLINE GT-R รุ่นที่ 9 ในรหัสสวย “R33” ที่ออกแบบมาเน้นความเรียบหรู แบบสปอร์ตรุ่นใหญ่แต่ว่าความดุดันใน R32 นั้น มันตรึงจิตจนยากที่จะถอน พอมาเปลี่ยนลุคใหม่ คนกลับนิยมน้อยลง เพราะมันไม่ดุซึ่งคนที่ชอบก็จะออกผู้ใหญ่วัยรุ่น” (รวมถึงวัยแรด”) กันไปสักหน่อย และมาฮิตกันอีกทีก็คือ R34 ซึ่งเป็นการปิดวิกตำนาน SKYLINE GT-R กับเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง อย่าง RB26DETT ไป ดังนั้น R33 ก็เหมือนกับเป็นเส้นขอบฟ้าที่โลกลืมแต่ความที่มันดูแปลกแยกแต่กลับกลายเป็นเอกลักษณ์อีกทางหนึ่งซึ่งก็มีชนกลุ่มน้อยที่หลงใหลในสไตล์ของมัน ซึ่งเราได้รับความรู้เชิงลึกจาก “SKYLINE R33 CLUB THAILAND” ที่ตัวพ่อทั้งหลายได้ครอบครอง ส่วนในเล่มหน้า พร้อมเจาะลึกของแต่ง NISMO แบบ Super Rare Items ที่มีตังค์ก็ซื้อไม่ได้ทุกครั้งไปพร้อมกับ R33 ที่แต่งด้วยของ Rare Item เป็น Version ต่างๆ อีกเกินครึ่งโหลห้ามพลาดทั้งฉบับนี้ และฉบับหน้า เด็ดขาดครับ

Full Grand Touring Style

R33 จะออกแบบรูปทรงมาดูหนักกว่า R32 ด้วยความที่ต้องการให้เป็นรถสปอร์ตในลักษณะของ GT หรือ Grand Touring ที่มี 4 ที่นั่ง แบบที่ด้านหลังสามารถนั่งได้จริงแน่นอนว่า SKYLINE ก็ยืนหยัดรูปแบบ GT มาตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งไม่ถือว่าเป็นสปอร์ตพันธุ์แท้ เนื่องจากว่ามีแบบ 4 ประตู เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งสปอร์ตแท้ๆ อย่าง FAIRLADY Z นั้นจะมีเฉพาะ 2 ประตู เท่านั้น สำหรับ R33 จะยืดขนาดช่วงล้อหน้าถึงหลังให้ยาวถึง 2,720 มม. ส่วน R32 จะอยู่เพียง 2,612 มม. ทำให้ห้องโดยสารของ R33 นั้น สามารถยืดให้นั่งสบายขึ้นกว่า R32 และมีความกว้างขวาง นั่งสบาย คนที่เล่น R33 จะชอบตรงนี้กันมาก เพราะมันนั่งทางไกลแล้วสบายและด้วยน้ำหนักรถเปล่าถึง “1,540 กก.” (V-SPEC) ทำให้เกิดความนุ่มนวล หนักแน่นมากขึ้น

6 สูบเรียง เท่านั้น !!!

R33 จะมีการเปลี่ยนแปลงในด้านเครื่องยนต์ของรุ่นน้องรองแต่ที่แน่ๆ จะมีจำหน่ายเฉพาะบล็อก “RB” เท่านั้น ซึ่งบล็อกเล็กๆ 4 สูบ อย่างตัว CA18E ใน R32 4 ประตู ตัวถูกสุดนั้นไม่มีอีกต่อไป ในรุ่น GTS (HR33) จะเป็นเครื่อง RB20E 12 วาล์ว 130 PS ขึ้นมาเลยก็เป็น GTS-25 (ER33 และ ENR33 ที่เป็น 4WD) จะเป็นเครื่อง RB25DE ที่พัฒนาจากเครื่อง R32 รุ่น GXE โดยมีระบบกระดิกแคมไอดีหรือ NVCS (NISSAN Valve Timing Control System คนละเรื่องกับ VVL นะ) ส่วน GTS-25T (ECR33) ก็จะเป็น RB25DET 250 PS ซึ่งเป็นยีบห้าเทอร์โบที่ยอดฮิตกันนั่นเอง แต่รุ่นเทอร์โบนี้ไม่มีขับสี่นะครับ และสุดๆ กับ RB26DETT 280 PS ใน GT-R รหัสBCNR33 ซึ่งเป็นตัวแรงที่เราจะพูดถึงในครั้งนี้

Tips

รหัสต่างๆ ที่ NISSAN SKYLINE ใช้มายาวนาน มีดังนี้

ถอดรหัสอะไรคือ C ใน BCNR33

ปัญหาโลกแตกซึ่งก็น่าแปลกว่า R33 เป็น GT-R ตัวเดียวที่มีตัว C แทรกมา ซึ่งใน BNR32 ไม่มี และพอเป็น BNR34 ก็เสือกไม่มีอีก ก็มีกระแสข้องใจกันว่า C น่าจะมาจาก “Comfortable” เพราะตัวรถมีขนาดยาวขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็ว่าน่าจะมาจาก Coupe แต่สองอันนี้มันไม่มี Reference ยืนยันได้ คำตอบเดียวที่มีตัวจริงมายืนยัน คนนี้ “Aki Itoh” (อากิ อิโตะ) เป็นตัวพ่อสายลึก R33” ที่มีเว็บ r33gt-r.com ชื่อว่า One Man’s Lonely in His R33 SKYLINE GT-R ได้มาตอบในเว็บ GT-R UK ใช้ล็อกอินว่า AKASAKA R33 ว่าตัว C นั้นหมายถึง ระบบ 4WS หรือเลี้ยวสี่ล้อ ที่เป็นแบบ Super-HICAS เหตุที่ต้องมี C เนื่องจากว่า ในช่วงที่ R33 ผลิต จะมีรถรุ่นอื่นของ NISSAN ที่มีเฉพาะ ATTESSA (รหัส N) แต่ไม่มีระบบ Super-HICAS ก็เลยต้องจำแนกมาเป็นแบบนี้ รวมถึงตัว GTS-25t ด้วยนะครับ ที่มีระบบ HICAS ก็ใช้รหัส ECR33 นั่นเอง แต่ยังไม่ใช่ขับสี่นะ

Tips “Super-HICAS” ดีกว่าตรงไหน

ระบบ HICAS ของ R32 ยังต้องใช้แรงดันจากปั๊มเพาเวอร์ จากการหมุนพวงมาลัยมาควบคุมการเลี้ยวของล้อหลังอยู่ ปั๊มเพาเวอร์จะมี 2 ห้อง คุมแร็คหน้าและหลัง ส่วน Super-HICAS ใน R33 จะควบคุมการเลี้ยวด้วยไฟฟ้าโดยตรง ปั๊มเพาเวอร์จะตัวเล็กลง เหลือเพียง 1 ห้อง คุมแร็คหน้าเท่านั้น โดยประมวลผลจากเซ็นเซอร์ที่คอพวงมาลัยและ G-Sensor ที่ด้านในจะเป็น Crystal Clock ส่งสัญญาณว่าตอนนี้รถเอียงไปทางไหน จะมีมอเตอร์ไฟฟ้าคอยขยับการเลี้ยวโดยตรง ทำให้ไม่ต้องใช้น้ำมันไฮดรอลิกมาดัน สำหรับองศาการเลี้ยวก็ช่วยเพียง 1-2 องศา (โดยประมาณ) แต่มีผลมาก ในการเลี้ยว หากเป็นความเร็วต่ำกว่า 80 km/h ล้อหลังจะเลี้ยวสวนทางกับล้อหน้าเพื่อให้วงเลี้ยวแคบ ขับสะดวก แต่ถ้าความเร็วเกินกว่านั้น ล้อหลังจะเลี้ยวทิศทางเดียวกับล้อหน้าเพื่อให้เข้าโค้งได้ง่ายขึ้น

R33 Concept – 1993

ปี 1993 ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ” (Autumn) Tokyo Motor Show ครั้งที่ 30 ทาง NISSAN ก็ได้โชว์ New SKYLINE GT-R Concept Car ซึ่งในช่วงนั้น SKYLINE R33 ได้เปิดตัวและจำหน่ายแล้ว แต่เป็นตัว GTS ต่างๆ (ในตอนนั้นยังมี R32 ขายอยู่เลย) ซึ่งตัว GT-R Concept ก็จะมีรายละเอียดที่ต่างจากตัวจริงโดยเฉพาะกันชนหน้าที่เหมือนกับเอา GTS มาเหลา มันจะดูเรียบไปหน่อย ส่วนตัวจริงโผล่มาในเดือนมกราคม ปี 1995 พร้อมจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

Series I – 1995

R33 จะมีทั้งหมด 3 Series ซึ่งตอนแรกผมก็นึกว่ามันมีแบ่งด้วยเหรอวะ ไหนๆ ก็มาลองดูกันว่า แต่ละซีรีส์ต่างกันอย่างไร เริ่มที่ Series I ก่อนก็แล้วกัน สำหรับรหัสตัวถัง หรือ Vin Number นั้น จะเป็นซีรีส์ไหน เลขเท่าไร ดูที่รูป Vin Range ได้เลย บอกชัดเจน

Optional

สำหรับอุปกรณ์เสริมพิเศษ ใน GT-R ก็มีหลายอย่างให้เลือกทุกอย่างสามารถเช็กในเว็บได้ซึ่งโดยหลักมีดังนี้

V-SPEC

สำหรับตัว V-SPEC หรือ Victory Spec นั้น ก็เหมือนกับเวอร์ชันพิเศษขึ้นมาอีกหน่อย แต่ของ R33 นั้นจะไม่ค่อยแตกต่างจากรุ่น GT-R ธรรมดาชัดเจนเหมือน R32 เหมือนกับว่า R33 ให้ของดีและใหญ่มาหมดแล้ว เช่น ล้อก็เป็นขนาด 9 x 17 นิ้ว ยางก็ 245/45R17 เบรก BREMO ก็เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในตัว V-SPEC ก็จะเป็นระบบ “ATTESSA PRO” ที่ประมวลผลเร็วกว่า และมีการแบ่งกำลังที่เหมาะสมขึ้น เมื่อเทียบกันแล้ว ทำให้วงเลี้ยวแคบกว่า ATTESSA ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด (เป็นการลดวงเลี้ยว เนื่องจาก R33 เป็นรถบอดี้ยาว) ส่วนลิมิเต็ดสลิปก็จะเป็นแบบ “Active LSD” หรือ A-LSD (ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์เสริมในรุ่นธรรมดา) สังเกตที่วัดรอบจะมีไฟเตือน A-LSD เป็นเม็ดเล็กๆ อยู่ตรงกลาง ซึ่งรุ่นธรรมดาไม่มี การทำงานของมันก็จะอาศัยแรงดันน้ำมันมาดันที่แผ่นคลัตช์ LSD โดยสั่งตามเงื่อนไขการขับขี่จริง เวลาทำงานก็จะขึ้นไฟโชว์ที่วัดรอบ นับว่าเป็นของไฮเทคที่ SKYLINE บรรจงสร้างให้นักขับทุกคน

GT-R & GT-R V-SPEC “N1”

เป็นเวอร์ชันพิเศษ N1 มีทั้ง GT-R และ GT-R V-SPEC ก็คือรถที่ผลิตไว้สำหรับ Homologate ในการแข่งขัน “Group N” จริงๆ แล้วไม่ต้องตื่นเต้น มันก็คือรถสแตนดาร์ดเอาไปทำแข่งเครื่องยนต์จะเป็น RB26DETT N1 สเป็กพิเศษ เป็นเครื่องที่เหมาะสำหรับการแข่งขัน ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ที่เป็นเอกสิทธิ์ในรุ่น N1 มีอีกมากมาย ที่อดจะกล่าวถึงมิได้ งั้นผมรวบทั้ง 3 Series เลยทีเดียวแล้วกัน มีรายละเอียด ดังนี้

 

NISMO GT-R LM Edition Road Going Version “(Maybe) One in the World”

โคตรอภิมหา Rare Item เพราะเป็นรถที่ผลิตขึ้นมาสำหรับให้ผ่าน Homologate ในการแข่งขัน Le Mans 24 Hours (LM) ในคลาส GT1 ซึ่ง NISMO ได้ผลิตขึ้นมา ซึ่งน่าจะเป็นเพียงคันเดียวในโลก เพราะขนาดเว็บ GT-R Registry ก็มีข้อมูลตัวเลข Vin เพียงหนึ่งเดียว คือ N400R-05014 ซึ่งมีแรงม้าอยู่ที่ 300 PS ตัวรถขยายโป่งออกไปข้างละ 50 มม. รถคันนี้ถูกเก็บไว้ที่ NISSAN Heritage Collection ในเมือง Zama ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงตัวแข่งที่พูดถึงด้านล่างนี้ด้วย

NISMO GT-R LM Race Car

สำหรับตัวแข่ง Le Mans ของจริง จะมีทั้งหมด 5 คัน

End of R33 GT1 Le Mans

หลังจากนั้น NISSAN ก็หยุดใช้ R33 แข่งในรุ่น GT1 ไป เพราะค่ายยุโรปก็ต่างสร้างรถ GT1 แบบเฉพาะทางขึ้นมา การที่จะเอา R33 มาทำเพื่อไปสู้กับเขาได้นั้น น่าจะเป็นการลงทุนที่มหาศาล ด้วยความที่ตัวรถเป็น GT อะไรต่างๆ ก็ออกจะเสียเปรียบเขา ทำไปปลายทางอาจจะไม่คุ้มค่า คิดว่าผลิตรถใหม่น่าจะดีกว่า ซึ่ง NISSAN ก็ได้ผลิต R390 GT1 ออกมาในปี 1997-1998 ซึ่งเป็นรถแข่งเฉพาะทางออกมา ได้สรีระตามต้องการ เครื่อง VRH35L ทวินเทอร์โบ 550 PS แบบไม่ต้องเค้นกันมากและยังมี R390 GT1 Road Car เพื่อให้ผ่าน Homologate ออกมาอีกด้วย ซึ่งเป็นรถระดับ Exotic car ที่ราคาแพงมาก เพราะมันมีจำนวนน้อยจริงๆ

Victory of Production Car

แม้จะดูว่า R33 อุ้ยอ้าย แต่เอาเข้าจริง สมรรถนะมันเหนือกว่า R32 เยอะนะ ยิ่งสร้างชื่อในตอนที่ถูกส่งไปทดสอบในสนาม Nurburgring ประเทศเยอรมนี ขับโดย “Dirk Schoyman” นักแข่งแถวหน้าของเยอรมัน ที่มีประสบการณ์ขับในสนามแห่งนี้ไม่ต่ำกว่า “14,000 รอบเรียกว่ารู้ยันหญ้าและเป็นนักทดสอบ เซตช่วงล่างให้กับ SKYLINE GT-R ตั้งแต่ R32-R34 ขับ R33 GT-R แรดในสนามได้ในเวลาต่ำกว่า 8 นาทีจำได้ว่าน่าจะแถวๆ “7 นาที 55-56 วินาทีหากจำไม่ผิด (เคยเห็นในคลิปเก่าๆ นี่แหละ) ซึ่งเป็น Production Car จากญี่ปุ่นคันแรกที่ทำลายสถิติเลข 8 วินาที นี้ลงได้ ตอนนั้น R32 GT-R ก็อยู่แถวๆ 8 นาที 20 กว่าวินาที นับว่าเป็นการเปิดตัวอย่างสวยงามของ R33 GT-R แต่เชื่อแน่ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องสงสัยกับเวลานี้บ้าง ???

สำหรับดราม่าเรื่องของสถิติเวลาของ R33 GT-R ในสนาม Nurburgring ก็มีข่าวเป็นกระแสอยู่พักหนึ่งในเว็บไซต์ใหญ่ของ R33 เว็บหนึ่ง ตีประเด็นสงสัยว่าเป็นรถเดิมจากโรงงานจริงหรือซึ่งมันไม่น่าจะทำเวลาได้เร็วขนาดนั้น เพราะก่อนหน้านั้นเร็วสุดก็ NSX Type R ก็ประมาณ 8 นาที 10 กว่าๆ วินาที ซึ่ง R33 ที่ทั้งใหญ่และหนักกว่าชาวบ้านเขาหลายร้อย กก. มันไม่น่าจะเร็วกว่านั้น ข่าวมันมาว่า ตอนที่เอารถคันนี้ไปจอดโชว์งานอะไรสักที่ แล้วมีใครสักคน (งานอะไรกับใคร ไม่รู้จริงๆ ว่ะ อย่าถามเลย) ไปเปิดดูแล้วสังเกตเห็นสวิตช์ปริศนาที่คอนโซลกลาง เลยเป็นประเด็นว่าแอบโมฯ เครื่องเพิ่มมาหรือเปล่าสวิตช์อันนี้ อาจจะเอาไว้กด Over Boost เพื่อเพิ่มอัตราเร่งหรือไม่ ก็คงเป็นปริศนากันต่อไป เราเพียงนำมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆ เท่านั้น

Series II – 1996

มันอาจจะมียุคคาบเกี่ยวจาก Series 1 มาในช่วงต้นๆ ปีนี้บ้างนะ แต่ถ้าเอาให้เข้าใจง่าย ก็ปัดเศษเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวคนเขียนคนอ่านจะงงทั้งคู่ สำหรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงเพิ่ม ก็มีดังนี้

“LM Limited” Special Limited Edition 

จากการที่ R33 เป็นรถสปอร์ตจากญี่ปุ่นที่เข้าร่วมการแข่งขัน Le Mans ใน GT1 Class (ซึ่งปัจจุบันนี้ GT1 นั้นเลิกแข่งไปแล้ว เพราะต้องใช้ต้นทุนสูงมาก) ในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 1996 GT-R Series II ก็ได้ออก GT-R LM Limited เหมือนเป็นการฉลองซึ่งจะมีทั้ง GT-R LM Limited จำนวน 86 คัน กับ GT-R V-SPEC LM Limited จำนวน 102 คัน สำหรับสิ่งพิเศษในรุ่นนี้ก็มีมากมาย ดังนี้

Series III – 1997-1998

  ยุคสุดท้ายของ R33 แล้วครับ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น R34 ในปีนี้ NISSAN เทของดีๆใส่หลายอย่าง เนื่องจากว่าต้องการโกอินเตอร์ส่งรถไปขายในประเทศต่างๆ รวมถึงอเมริกาด้วย ซึ่ง R33 ก็เน้นหนักในด้าน Safety ให้สูงสุด แต่ก็มีกระแสว่าทางอเมริกาได้กดด้วยกฎหมายมลพิษ (Emission Control) ที่เข้มงวดมาก ทำให้ GT-R ไม่สามารถผ่านไปขายในอเมริกาได้ เนื่องจากเครื่อง RB26DETT เป็นนิสัยใช้กำลังในรอบค่อนข้างสูงถ้าไปตอนให้น้ำมันบาง ก็คงจะไม่เหมาะนัก อีกอย่าง ในอเมริกาจะใช้น้ำมันออกเทน 91 เป็นหลัก (ซึ่ง GT-R จะให้ดีก็ต้องออกเทน 98 ขึ้นไปจนถึง 100 ในญี่ปุ่นและยุโรปบางประเทศ) ทำให้แรงม้าตกแน่ๆยุ่งยากมากนัก ไม่ทำแม่งเลยดีกว่า ก่อนอื่นเรามาดูสเป็กญี่ปุ่นกันก่อนดีกว่า ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

GT-R AUTECH VERSION 40th Anniversary

มาดูเวอร์ชันพิเศษกัน กับ “GT-R 4 ประตูที่หลายคนหลงใหลในความแปลก ที่บริษัท AUTECH ได้ผลิตขึ้นมา เป็นการเอาเครื่องยนต์ ช่วงล่าง ระบบขับเคลื่อน อุปกรณ์ต่างๆ ของ BCNR33 มาใส่กับตัว 4 ประตู ซึ่งทำออกมาได้แหวกแนว และเป็นรถที่ขายจริง เป็น AUTECH VERSION ฉลองครบรอบ 40 ปี ภายนอก เป็นหน้า GT-R โป่งหลังขยายใหม่ ภายในจะเป็นเบาะสีแซมม่วงน้ำเงิน อุปกรณ์ภายในต่างๆ เป็น GT-R ซึ่งมีจำหน่ายทั้งหมด “416 คันมี 4 สี คือ KN6 Dark Grey Pearl น่าแปลก เพราะมีคันเดียวเป็นคันที่ 241/416 ต่อมาเป็น KR4 Sonic Silver 253 คัน, LP2 Midnight Purple 43 คัน, QM1 White 119 คัน

GT-R V-SPEC “UK Spec”

นับว่าเป็นครั้งแรกของ GT-R ที่มีผลิตสำหรับสเป็กส่งออกโดยเฉพาะ ซึ่งเป็น UK Spec หรือ Great Britain หรือ UKDM พูดง่ายๆ ก็สเป็กอังกฤษนั่นแหละ รายละเอียดบอกตรงๆ บางอย่างจะพิเศษกว่า JDM อย่างเห็นได้ชัด เพราะฝรั่งสเป็กสูงมีข้อบังคับในด้าน Safety เยอะกว่า โดยมีข้อแตกต่าง ดังนี้

Last in The World of R33 GT-R

สำหรับแสงสุดท้ายของ R33 GT-R ก็จะอยู่ในช่วงเดือน 11 ปี 1998 ซึ่งตอนนั้น R34 GT-R ได้ออกมาแล้ว ก็จะแบ่งตัวสุดท้ายในโลกเรียงลำดับได้ดังนี้

Next Episode

ยัง ยังไม่จบแน่ๆ สำหรับเรื่องราวของ R33 GT-R ที่เล่มนี้เป็นเพียงปฐมบทเท่านั้น เล่มต่อไปจะมี “Tips” ต่างๆ ที่น่าสนใจ และไฮไลต์โชว์ของแต่งและโชว์รถที่บรรจุด้วย Rare Item NISMO กันทั้งคัน พาเหรดกันมากว่าครึ่งโหลจุใจแน่ๆ อย่าพลาดเชียวนะ

Special Thanks

คุณอ๊อด, คุณโอ๋ สำหรับข้อมูลในฉบับนี้

Facebook/SKYLINE R33 CLUB THAILAND

ข้อมูลอ้างอิง

www.gtr-registry.com, www.r33gt-r.com

 

(Intro)
หลังจากที่เราได้ว่ากันถึง “ปฐมบท” ของ SKYLINE R33 GT-R กันไปแล้วในข้างต้น นับตั้งแต่บรรทัดนี้จะเป็นการนำเสนอเกี่ยวกับ “ของแต่ง NISMO เทพๆ” ที่หายากและต้อง “ใจถึง เงินถึง เข้าถึง” จึงจะสามารถประมูลมาได้ เราจะนำของมาให้เป็น “ข้อมูล” ว่าของแต่ง R33 มันมีอะไรบ้างที่ “ตรงยุค” และ “ควรค่าแก่การรักษา” ไม่ธรรมดาแน่นอนครับ และจะมี Tips ต่างๆ ที่นึกอะไรได้ก็จะ “รวมมิตร” ใส่เข้าไปให้อ่านกันเพลิน และจบด้วยขบวนรถ R33 GT-R ในเมืองไทย ที่มีทั้งเดิมสนิทแบบออกโชว์รูม รวมถึงตัวแต่งในแต่ละแบบ และใช้ของครบ ดีเทลครบ “ตรงรุ่น” นับว่าหาดูกันไม่ได้ง่ายๆ แต่เรา “มีให้ดู” ที่นี่ที่เดียว ผม “พี สี่ภาค” ขอเป็นตัวแทนในการมอบความสุขสำหรับคนนิยม SKYLINE โดยเฉพาะ R33 “เส้นขอบฟ้าที่โลกลืม” พลาดไม่ได้แน่ๆ…

ขอขอบคุณ
ติดตามข่าวสารและข้อมูลได้ใน Facebook ของกลุ่ม SKYLINE R33 Club Thailand… 
เจ้าของรถทุกท่าน ที่สละเวลามาให้ข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ…
Secret of RB และ Aum Tunerpro สำหรับข้อมูลเรื่องเครื่องยนต์และกล่อง ECU โทร. 08-1809-3131
บริษัท KINIK THAI สำหรับสถานที่ถ่ายทำคอลัมน์…

Various of R33
สำหรับข้อมูลเบ็ดเตล็ดต่างๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ R33 ทั้งข้อมูลจากไทยและเมืองนอก เท่าที่หาข้อมูลเจอและเจอเองจากประสบการณ์ชีวิต (และเท่าที่นึกออก) ผมจะไล่เรียงเป็นแบบหลากหลายสไตล์ “พี สี่ภาค” แบ่งเป็นข้อๆ ไปแล้วกัน…
– คงจะจำกันได้ กับ R33 GT-R ที่โมดิฟายแรงสุดๆ “คันแรกในเมืองไทย” เป็นของ “คุณก๋อย” โมดิฟายที่ NOI ELEVEN คันนี้ทำแรงม้าได้เฉียดๆ 700 ตัว ซึ่งถือว่าเยอะมากในสมัยก่อน  จูนโดย “ดอน โมเทค” ซึ่งคันนี้เปิดศักราชให้คนไทยได้รู้จักกับ R33 เพราะตอนนั้นมันเป็นรถใหม่ที่เพิ่งออกมาจริงๆ เรียกว่าโดนจับลงนิตยสารอย่าง XO AUTOSPORT และอื่นๆ ในระดับชั้นนำของเมืองไทย แต่ว่าตอนนี้รถคันนี้อยู่กับใคร มีคำตอบท้ายเล่มครับ…
– สำหรับตัวโมดิฟายในตำนานของญี่ปุ่น ในตอนนั้นก็จะมีสำนักใหญ่ๆ มากมาย ที่จับ R33 มาโมดิฟายเป็นตัวเรียกแขกของร้าน ที่เด่นสุด ยกตัวอย่าง เช่น HKS ก็จะเป็น T-002 Demonstrator สีดำ ออกมาในปี 1997 ด้วยแรงม้าถึง 950 PS !!! ทำอัตราเร่ง 0-300 km/h ได้ในเวลา 17.4 วินาที ผ่านควอเตอร์ไมล์ในเวลา “10.2 วินาที” ในยุคนั้นบนรถ Stock Body ครบๆ หนักๆ ก็ถือว่าไม่ธรรมดา ทดสอบในสนาม Kanemoto Proving Ground ที่เป็นลักษณะ Speed Bowl ที่ใช้วิ่ง “ทดสอบ” ความเร็วสูงสุดโดยเฉพาะ (ไม่ใช่สนามแข่งนะครับ เป็นสนามทดสอบรถในความเร็วสูงระดับ 320 km/h ซึ่งนิตยสารหรือ VDO ต่างๆ จะชอบเอารถโมดิฟายไปทดสอบวิ่งกัน) ในยุคนั้นคนไทยบางส่วนจะเริ่มรู้จักกัน เพราะดู VDO รถซิ่งของญี่ปุ่น ยุคนั้น Ray Sport ที่เป็น Speed Shop ไฮโซที่เป็นตัวแทนจำหน่าย HKS, GReddy และแบรนด์ของโมดิฟายระดับสูงชั้นนำต่างๆ ของญี่ปุ่น นำ VDO พวกนี้มาขาย ก็ต้องวัยรุ่นรถซิ่งยุค 90’s ที่ติดตามและซื้อมาดูรถพวกนี้กัน…
– ส่วนค่าย GReddy/TRUST ก็ไม่น้อยหน้า ส่ง RX S-ROC ออกมารบ คงจำกันได้ สีฟ้าแก้วเมทัลลิก เบาะเหลือง ล้อ PANASPORT G7 5 Spokes เครื่องยนต์ขยายความจุเป็น 2.7 ลิตร เทอร์โบ GReddy T88 เกียร์ Sequential 6 สปีด ในตอนนั้นรถคันนี้ก็วิ่งโชว์ ถ่าย VDO จุดเด่นก็คือ เสียงเวสต์เกตแยกแผดซ่านยาวๆ ปัจจุบันรถคันนี้ก็ถูกขายให้กับบริษัท ZERO AUTO ซึ่งขายรถมือสองระดับ Premium ในญี่ปุ่น เรียกว่าเป็นรถที่มีราคาแพงมาก เพราะเป็น “ตัวตำนาน” ที่มีเพียงคันเดียวในโลก…
– สำหรับ JUN ก็ทำรถ R33 ในซีรีส์ HYPER LEMON สีเหลืองอ๋อยเอ้อเฮ่อ ดั้งเดิมทำเป็น Drag แล้วนำมา “ปรุง” แหวกแนวสำหรับวิ่ง Top Speed ในทะเลเกลือ “บอนเนวิลล์” รายการ Bonneville Speed Trial ครั้งที่ 49 ด้วยพลัง 1,000 PS !!! ทำ Top Speed ได้ถึง 383.715 km/h (238.429 mph) ซึ่งทำสถิติ World Records ในรุ่น F/BGCC Class ณ ตอนนั้น JUN ตั้งเป้าหมายก็จะทำให้ทะลุ 400 km/h ให้ได้ โดยศักยภาพรถมันได้ แต่ที่ไม่ได้ เพราะเคยอ่านเจอว่ามีฝนตกปรอยๆ ลงมาก่อนวิ่งแล้วหยุด ทำให้พื้นเกลือเริ่ม “ร่วน” และ “ลื่น” บ้าง ทำให้รถมีอาการเลื้อยๆ ไหลๆ ทรงจะอันตราย เลยได้ Top Speed ที่คุมอยู่แค่นี้…
– ลืมไม่ได้เด็ดขาด กับสำนัก HKS ที่มี DRAG GT-R R33 ออกมาในยุคนั้นด้วย ซึ่งสืบความแรงต่อมาจาก R32 สำหรับคันนี้มีพลังมากถึง 1,300 PS !!! ซึ่งบางกระแสก็ว่าเป็นเครื่อง RB30DETT ประกบฝา RB26 แต่ทาง HKS ก็ยืนยันว่าเป็นชุด RB28 Stroker Kit Stage III อันนี้ก็ว่ากันไป สูตรใครสูตรมัน เป็นรถ Stock Body ที่ทำเวลาควอเตอร์ไมล์ได้ดีที่สุด “7.671 วินาที” !!! ในสนาม Sendai Hi-Land Speedway คนขับก็แน่นอนว่าต้องเป็น “Tetsuya Kawasaki” มือขับ Drag ของ HKS ที่คนยุคก่อนรู้จักกันดี รถคันนี้เลิกแข่งไปในปี 2002 ก่อนที่จะมา “วิ่งโชว์” ในบ้านเราช่วงสิบกว่าปีก่อน ในรายการ HKS POWER DAY ณ สนาม BDA ยุคแรกเริ่ม จำได้ว่าทำเวลาไป “แปดต้น” อันนี้แค่โชว์เฉยๆ นะครับ แล้ว T. Kawasaki ก็ขับย้อนแทร็กมาแจกรางวัล ของที่ระลึก ให้ผู้ชม เรียกว่าเป็นคืนแห่งตำนานจริงๆ…

Tips
สำหรับ Tips ต่างๆ นี้ ก็จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่มีประโยชน์(เหมือนกัน) เกี่ยวกับ R33 ที่เป็นประเด็นอันน่าสนใจ ดังนี้…

ECU Analyze
– สำหรับ “กล่อง ECU” เดิม มีคำถามว่า R32 กับ R33 สามารถสลับใส่กันได้ไหม คำตอบคือ “ได้” ตัว Socket มันเสียบได้เหมือนกัน ตัวกล่อง R33 ทันสมัยกว่า ใหม่กว่าก็จริง ซึ่งบางคนก็เอาไปใช้กับเครื่อง R32 แต่…มันก็ไม่ได้หมายความว่าเอาของ R33 ไปใช้ แล้วมันจะดีกว่าจริง มีสิ่งที่น่าสนใจ อ่านต่อไปเลยครับ…
– เบื้องต้น ในการจำแนกกล่องว่าเป็นของ R32 หรือ R33 ดูที่ Code เลยครับ ถ้าเป็นของ R32 จะเป็นเบอร์ 23710-05U60 ไปถึง 63 ส่วนของ R33 จะเป็นเบอร์ 23710-24U00 ดูง่ายๆ นี่แหละ สำหรับไฟ Self-Diagnosis ที่เรียกกันว่า “ไฟเช็กโค้ด” ถ้าเป็นกล่อง R32 จะเป็นหลอด LED ซึ่งจะกะพริบตาม False Code เป็นตัวเลข “สองหลัก” เช่น กะพริบ 1 ครั้ง เว้นวรรค กะพริบอีก 4 ครั้ง ก็คือ 14 (สมมตินะสมมติ) และก็ต้องเปิดคู่มือว่ามันแจ้งรหัสนี้หมายถึงอะไรเสีย ส่วนของ R33 จะไม่มีหลอดไฟ จะไปฟ้องที่ไฟ Check Engine ที่หน้าปัดแทน…
– ถ้าเปิดกล่องดวงใจมาแล้ว ก็จะพบความแตกต่าง กล่อง R32 จะเป็น “บอร์ดชั้นครึ่ง” นั่นคือ บอร์ดเต็มแผ่นหนึ่งชั้น และ “บอร์ดครึ่งแผ่น” อีก 1 ชั้น ไอ้ครึ่งแผ่นนี่เป็นบอร์ดคอนโทรล Knock Sensor ที่มีความสำคัญมาก เนื่องจากมันจะปรับไฟ Advance เดินหน้าจนกว่าจะ “เขก” จึงลดไฟมาอยู่ในจุดที่เหมาะสม มันจะดีเพราะสามารถเดินไฟไปจุดสูงสุด ก่อนจะเขกได้ ส่วนตัว “รอม” จะเป็นแบบ E-PROM สี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวๆ มี 28 ขา ทรงเหมือน “ตะขาบ” ยังเป็นทรงรุ่นเก่าๆ อยู่ ส่วนกล่อง R33 จะไม่มีบอร์ด Knock Sensor แบบ R32 อีกแล้ว ส่วนตัวรอมเป็นรุ่นใหม่ แบบ PLCC สี่เหลี่ยมจัตุรัส จำนวนขาเยอะๆ น่าจะ 64 ขา หรือมากกว่านั้น…
– ถามว่าใส่สลับกันได้ไหม “ได้ครับ” เพราะ Socket ที่กล่องเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ “ขับไม่เหมือนเดิม” ในส่วนหลักที่ทำให้มันต่างกัน จะเป็นเรื่องสำหรับการ “โปรแกรม” จากโรงงาน เรื่อง “ส่วนผสม” หรือ Target A/F Ratio ของ R32 จะอยู่ที่ “14.5-14.7” ส่วนของ R33 จะบางถึง “15 กว่าๆ” น่าจะเป็นเรื่องของการลดมลพิษตามกฎหมายที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งตัวเลขค่อนข้าง “น่ากลัว” ถ้าในสภาวะปกติ เครื่องเดิมๆ ไม่ได้ทำอะไร และทุกอย่างยังมีสภาพดี มันก็ยังได้ แต่ตอนนี้รถมัน 20 กว่าปีแล้ว อะไรก็ย่อม “เสื่อมถอย” ต้องระวัง ถ้า “แรงดันเบนซินตก” จะด้วยปั๊มติ๊กถอย หรือหัวฉีดตัน หรือกรองตัน ห่าเหวอะไรก็ตามแต่  จะมีปัญหา “เสี่ยงพัง” ถ้าซัดไม่ดูอาการรถ เพราะยังไงอาการมันก็ออกว่ารถ “ไม่แรง ไม่ลื่น” เหี่ยวๆ แห้งๆ ก็ควรจะรู้แล้วนะ ทางที่ดีควรจะ “จูนใหม่” ให้มันเผื่อไว้ก่อน รถก็จะแรง ไปลื่นๆ นิ่มๆ และไม่พังง่าย (พูดถึงเครื่องเดิมๆ นะ) ตอบสนองดีกว่าเก่ามาก…

Special Tuned Model
สำหรับ R33 นอกจากจะมีตัวพิเศษต่างๆ ดังที่กล่าวไปในเล่มก่อนแล้ว ก็มีหลายคำถามถามมาว่า “ลืมอะไรไปหรือเปล่า” ไม่ได้ลืมครับ แต่ครั้งก่อนผมจะเป็นรถ “โมเดลพิเศษ” จากโรงงาน แต่ความแรงยังเท่าตัวสแตนดาร์ด แต่ครั้งนี้จะเป็น “ตัวโมดิฟายพิเศษ” ในแบบ Complete Car จาก NISMO หรือแบรนด์ที่เป็นของ NISSAN โดยตรง จริงๆ แล้วมีเยอะมาก ขอยกตัวอย่าง “ตัวเทพ” ก็แล้วกันนะครับ…

NISMO 400R
There’s one car that bring all together !!!  
คงไม่มีใครไม่รู้จักมันแน่ๆ กับรถที่ถูก NISMO ปรับแต่งมาอย่างดี ในรุ่น 400R ซึ่งจะทำให้เป็น “เส้นขอบฟ้าเหนือเส้นขอบฟ้า” โดยการปรับปรุงเพิ่มสมรรถนะเข้าไปแบบจัดหนัก นำความรู้จากการแข่ง Le Mans มาพัฒนาใส่กับรถ Premium Special Edition “เวอร์ชันพิเศษในระดับสูง” ของ NISMO ที่ใครก็ทราบว่าทั้งแรง ทน สามารถวิ่งถนนได้จริง จดทะเบียนได้ปกติ มีสมรรถนะที่เหนือชั้น สามารถ “ขับไปไหนก็ได้” เพราะบนโลกนี้ไม่ได้มีเฉพาะทางตรงโล่งๆ เท่านั้น ในทางโค้ง 400R จะเกาะไลน์ได้อย่างนิ่งสนิทและมั่นคงสูง ถ้าคนขับ “มือตีนถึง” ก็จะยิ่งพาสมรรถนะออกมาได้เต็มที่โดยไม่ “หลุด” ไปเสียก่อน แรงแล้วก็ต้อง “เอาอยู่” ทั้งยังต้องไม่มีปัญหาใดๆ จุกจิก มันไม่ใช่รถที่คุณจะต้องเลือกขับในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น ถ้าคุณอยากขับมันไปทางไกลๆ ท่องเที่ยว ขับในทางโค้งต่อเนื่องบนเขา ขับลงสนาม ขับกลับมาในเมือง พาหวานใจไปเฉิดฉายดินเนอร์หรูหราตามโรงแรมชั้นเลิศ (และหลังจากนั้นก็…ขับกลับบ้านสิ อย่าคิดมาก) ทั้งหมดนี้ทำได้ใน 400R แบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งเหนือว่า Super Car แบบจัดจ้านในยุค 90 ที่แรงจริง แต่ขับขี่ทั่วไปลำบาก ต้องเลือกเส้นทาง วัน เวลาวิ่ง รถติดก็ฮีต ขับโคตรเหนื่อย แอร์ก็ไม่เย็น (หรือไม่มี) แต่ 400R ไม่เกี่ยง  คุณอยากจะขับมันไปไหนบ้างล่ะ ??? ก็แค่หยิบกุญแจแล้วสตาร์ตขับมันออกไป…ก็แค่นั้น…
ก็ไม่แปลกที่ว่า 400R กลายเป็น “รถสะสม” อันมีค่าในระดับโลกไปเสียแล้ว ซึ่งแต่ก่อนนั้นรถญี่ปุ่นก็มักจะไม่ได้รับ “เครดิต” ในระดับโลกที่จะนิยมค่ารถฝรั่งมากกว่า แต่พอเจอตัวนี้เข้าไป ทำไมมันดีจัง ทำไมมันแพงกว่าชาวบ้านเขา ด้วยการเปิดราคามาถึง “12 ล้านเยน” !!! ไม่ดีจริงคงขายไม่ได้ ทัศนคติของทั่วโลกก็เชื่อมั่นรถญี่ปุ่นชั้นดีมากขึ้น ยิ่งถ้าเป็น Limited Edition และเป็น Complete Tuning Car จากสำนักคู่บุญ NISSAN อย่าง NISMO ด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรเลยจริงๆ สมกับที่ว่า “เป็นรถที่รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในคันเดียว” !!!
– กำเนิด 400R จะเริ่มขึ้นในปี 1996 โดยการเอาพื้นฐานของ BCNR33 มาผลิต มีจำนวน “40 คัน” ก็จะเริ่มรหัส 400R-01 ไปจนถึง 400R-40 ซึ่งบอกก่อนว่า ตัวเลข VIN Code ไม่จำเป็นต้องเรียงกันตั้งแต่คันที่ 1-40 เพราะมันเป็นการนำรถที่ผลิตในปี 1996 มาทำ ไม่ได้เอามาทีเดียวเรียงกัน สำหรับ 400R-01 ไม่มีข้อมูล VIN Code แต่คันสุดท้าย 400R-40 จะมี VIN Code คือ BCNR33-043677 เป็นรถสี BN6 Deep Marine Blue ครับ…
– สำหรับภายนอก สิ่งที่แตกต่างก็มีหลายจุด เริ่มกันจาก “กระจังหน้า” แบบพิเศษ ที่จะออกแบบให้เป็นทรง Aerodynamics ที่เห็นก็จะมีครีบเล็ก ดูรวมๆ แล้วคล้ายครีบปลายปีกเครื่องบิน พร้อมตะแกรงทรงรังผึ้ง เพื่อให้อากาศถูกรีดไปเป่าระบายความร้อนให้เร็วขึ้น (แต่ไม่เร็วที่สุด เพราะถ้าเร็วเกินไปจะไม่สามารถเหนี่ยวนำความร้อนออกไปได้ คือ มันผ่านแล้วผ่านเลยอ่ะ) พร้อมโลโกพิเศษ 400R ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะรุ่นนี้เท่านั้น…
– กันชนหน้าพร้อม “รูจมูก” ข้างป้ายทะเบียน เหมือนกับตัว N1 แต่เพิ่ม “กรอบ Aero” ให้เรียงอากาศได้อย่าง Smooth มากขึ้น ช่องลมข้างไฟเลี้ยวด้านซ้ายมือ จะดักลมเป่า Oil Cooler และนำลมออกด้านข้างกันชนฝั่งซ้าย ซึ่งช่องลมที่นำลมออกนี้จะมีเพียงฝั่งซ้ายอย่างเดียว เนื่องจากไม่ต้องการให้ปล่อยลมไปที่ซุ้มล้อ จะเกิดการ “ปั่นป่วน” เพราะในซุ้มล้อเอง ลมก็ปั่นป่วน (Turbulence) มากอยู่แล้ว (จริงๆ มีหลายเหตุ ไว้เล่าให้ฟังคราวอื่นๆ) ลมก็จะ Block ก็เลยออกข้างๆ กันชนแม่งเลยหมดเรื่อง ส่วนรูที่ลิ้นหน้าก็ดักไป “เป่าเบรก” ทั้งสองฝั่ง ส่วนที่กันชนหน้า ตำแหน่ง “อินเตอร์ฯ” จะมี “Air Guide” จะเป็นกรอบที่ Slope ดักลมไปเป่าอินเตอร์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด…
– ฝากระโปรงหน้า เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ ทรงตัวแข่ง Le Mans สปอยเลอร์หลังจะเป็นแบบ “สองระดับ” ปรับเพิ่มแรงกดตามความเหมาะสม ผลิตจาก “คาร์บอนไฟเบอร์” และมีแผ่นคาร์บอนฯ โลโก 400R ประกบด้านข้าง ให้ดู “ขลัง” และเป็นสิทธิเฉพาะ…
– ขอบโป่งล้อ ทำให้ตัวรถดูมีมิติมากขึ้น รองรับล้อ NISMO LM GT1 ขนาด 10 x 18 นิ้ว ที่ RAY’S ผลิตให้ กับยาง BRIDGESTONE POTENZA RE710 Kai ซึ่ง Kai จะเป็นรุ่นพิเศษ ดอกแบบ Asymmetric แยกด้านซ้ายและขวา แถมมีกำหนดทิศทางการหมุน (Rotation) อีก ไม่สามารถสลับข้ามฝั่งกันได้ มีเฉพาะไซซ์ใหญ่เท่านั้น (ไซซ์เล็กก็เป็นดอกแบบปกติ ซึ่งเป็นยางในตำนาน ผลิตแบบนี้ออกมาทีเดียวแล้วเลิก) ของ 400R ให้หน้ากว้างถึง 275/35R18 ที่เน้นสมรรถนะการยึดเกาะและความสวยงาม…
– ภายในจัดเต็ม และเป็น 400R Items ที่ “ไม่มีขายทั่วไป” เช่น ชุดวัดรอบ 11,000 rpm เรือนไมล์ 320 km/h พร้อมโลโก 400R ตัว “เกจ์สามเกลอ” (Triple Meter) ของ NISMO ที่วัดบูสต์ได้สูงถึง 1.4 บาร์ หัวเกียร์ “ไทเทเนียม” พวงมาลัย NISMO ขนาด 365 มม. พร้อมปุ่มแตร 400R แผงข้างสีเทา เบาะนั่ง เป็น Alcantara (บางแหล่งก็เรียก Suede หรือ หนังกลับ) พร้อมโลโก NISMO และ “ปุ่มหมุนปรับเบาะ” ที่พิเศษกว่ารุ่นปกติ…
– เครื่องยนต์ RB26DETT ที่ถูกเพาะกายใหม่โดยบริษัท REINIK (เรนิค) ที่เป็นบริษัททำเครื่องแข่ง โดยขยายเป็น 2.8 ลิตร ด้วยพาร์ทของ NISMO และมีส่วนประกอบต่างๆ มากมาย ใช้ชื่อว่า “RB-X GT2” ให้พลังสูงสุดถึง 400 PS @ 6,800 rpm แรงบิด 47.8 kg-m @ 4,400 rpm ซึ่งแรงม้าขนาดนี้ หลายคนคงคิดว่าเครื่องเดิมๆ ทำนิดหน่อยก็ปั่นได้สบายแล้ว ไม่เห็นต้องมาพึ่ง NISMO แพงๆ เลย แต่อย่าลืมนะครับ ว่า 400 ม้า ในแบบที่ “มีการรับประกัน” แรงได้ยาวๆ ไม่ใจเสาะ แถมขับใช้งานได้ นี่มันไม่ได้ทำกันง่ายๆ นะครับ อื่นๆ ก็มีอีก เช่น ชุดคลัตช์ Twin Plate ขนาด 8.5 นิ้ว เพลากลาง “คาร์บอน” หม้อพักและชุดท่อไอเสีย NISMO Titanium ที่เบามาก แต่เสียงไม่ดังเกินกฎหมายบังคับ โช้คอัพ BILSTEIN สปริงหน้า 8 k หลัง 7 k และอื่นๆ อีกมาก พอก่อนเดี๋ยว “อ้อย คลองแปด” มองหน้า…
– พวกอะไหล่และชิ้นส่วนที่เป็นของ 400R โดยเฉพาะ ในข้อมูลบอกเลยว่า “ไม่ขายทั่วไป” สงวนไว้ขายเฉพาะผู้ที่ได้ครอบครองรถ 400R เท่านั้น และต้อง “พิสูจน์ได้ว่าครอบครองจริง” นี่คือยุคที่มันยังใหม่ แต่ตอนนี้อาจจะมีบางอย่างหลุดมาบ้างก็แล้วแต่ “ใครถึงก่อน” นะครับ…

NISMO 400R Sedan ???
คงเคยเห็นกันบ้าง ว่ามี GT-R AUTECH ที่มาในโฉม “เหมือนกับว่าเป็น 400R” สีเหลือง มีอยู่คันเดียวที่เป็นกระแสอยู่ในโลกโซเชียล ดูเผินๆ ก็นึกว่าเป็น 400R Sedan ตัวพิเศษที่ “ทำขึ้นมาเป็นต้นแบบ” กันเอง ไม่ได้ขายจริงหรือเปล่า หรืออะไรยังไง มีคันเดียวในโลกจริงหรือเปล่า เอาจริงๆ แล้ว มันเป็น NISMO Version ที่เอาของแต่ง NISMO ต่างๆ มาใส่ใน GT-R AUTECH จึงดูแล้ว “เหมือน” แต่จริงๆ ไม่ใช่ 400R แต่อย่างใด ส่วนเครื่องก็โมดิฟายด้วย NISMO Part  มีแรงม้าถึง 380 hp !!! อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ใช่ 400R มันก็เป็นรถ Tuning Sport Sedan ที่สวยสุดๆ อีกหนึ่งรุ่นในตระกูล SKYLINE จนไม่สามารถลืมมันได้ลง…

280 Type MR “RB28DET”
อันนี้ขอ “นอกใจ” เป็นตัว GTS-25t Type M ที่เป็นน้องของ GT-R กันสักหน่อย เพราะตัวนี้ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้จักกัน สำหรับเจ้า 280 Type MR ก็เป็นรถที่ทาง PRINCE NISSAN DEALERSHIP สร้างขึ้นมา โดยส่งเครื่องยนต์ให้ทาง REINIK เป็นผู้โมดิฟาย ซึ่งเป็นเครื่อง RB25DET นำไปขยายความจุเป็น 2.8 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุดถึง “300 PS” เพิ่มมา 50 PS จากเดิม อาจจะดูเพิ่มน้อย แต่เครื่องตัวนี้เน้น Response หรือ “การตอบสนอง” ที่ดีขึ้น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เหมือน GT-R ส่วนภายนอกก็เพิ่มชุดพาร์ทนิดหน่อยตามรูป แต่ออกมาจำนวนเพียง “7 คัน” เท่านั้น ในตอนแรกเป็นรถ Special Model ที่ “ไม่ประสบความสำเร็จ” เพราะคนส่วนใหญ่ก็มอง GT-R เป็นหลัก แต่ตอนนี้ก็เป็น Rare Item ไปซะแล้ว…


REINIK คือ ???
ถ้าเป็นแฟนคลับเก่าแก่ของ SKYLINE GT-R หรือเพิ่งจะเป็นก็แล้วแต่ คงได้ยินชื่อ REINIK กันบ้าง ซึ่งมาจากคำว่า Race and Rally Engineering division NIssan-Kohi Incorporated เริ่มขึ้นในปี 1964 เป็นบริษัท Partner ที่ออกแบบเครื่องยนต์ Production และเครื่องยนต์โมดิฟาย รวมถึงอะไหล่ต่างๆ ให้กับ NISSAN เป็นต้น…


R33 Wagon ???
สงสัยต้องทะเลาะกับ “อ้อย คลองแปด” จริงๆ แล้วว่ะ เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งเจอ ย้อนอดีตไปในยุคที่ R33 ออกใหม่ๆ ถ้าวัยรุ่นยุค 90’s จะต้องคุ้นๆ กันกับ R33 GT-R คันหนึ่ง สีน้ำเงิน ล้อ VOLKS CHALLENGE สองประตูปกตินี่แหละ แต่ท้ายเป็น “Wagon” ??? รถคันนี้เป็นการ “ทำพิเศษ” เป็นของ “ไดซัง” มือขับทดสอบของ Option Japan และที่ดังสุด คือ JUN 350Z ที่ “กลิ้ง” ไปที่ความเร็วกว่า 200 km/h รถคันนี้เป็น Project ของ Option Japan เรียกกันว่า Option Speed Wagon เคยมาโชว์ในงาน Bangkok Auto Salon ปี 2541 ที่ Grand Prix และ XO AUTOSPORT เคยจัดขึ้น ณ สวนอัมพร ที่เอารถซิ่ง รถแข่ง จากญี่ปุ่นและอเมริกามาโชว์กันเห็นๆ ซึ่งอลังการตำนานมาก (ผมเองยอมเสียตังค์ไปเดินถึง 2 รอบ !!!) เพราะมีแต่รถแต่งกับรถแข่งจากนอกหลายคันที่ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ มาอยู่ต่อหน้า ปัจจุบันคันนี้ก็ยังอยู่ แต่เปลี่ยนสีเปลี่ยนล้อไปตามวันและเวลา นับว่าเป็นคันเดียวในโลกจริงๆ ที่ลืมไม่ได้…

Welcome To Rare Items World
ณ ตอนนี้ เรามาชมของแต่ง NISMO แบบ “ตรงยุค ตรงรุ่น” หรืออะไหล่ Accessories ต่างๆ ของ R33 GT-R ที่ “ครอบครองโดยคนไทย” ซึ่งแต่ละคนก็ “คลั่ง” NISMO กันสุดประเทศ เรียกว่าอะไรที่เป็น NISMO Rare Items กลุ่มนี้แหละก็จะไปเสาะหามาเก็บสะสมไว้ มีอะไรบ้าง เริ่มกันเลยดีกว่าจ้ะ…

Steering Wheels
ในหมวด “พวงมาลัย” อันนี้แหละที่สำคัญ เพราะบางทีมันก็ดูเหมือนๆ กับของที่มีขายทั่วไป แต่ “รายละเอียดลึกๆ” มันมีมากกว่านั้น ทั้งสรีระ วัสดุ ปีที่ผลิต ทรวดทรง หรือแม้แต่ “ขนาด” มันก็จะเป็นสิ่งบ่งบอกว่า “มัน Rare จริงหรือเปล่า” ตามนี้ครับ…

– อันขวาจะเป็นพวงมาลัยเดิม Series II-III จะเป็นทรงนี้ครับ ต้อง “เย็บด้ายแดง” ถึงจะใช่ (เพราะทรงนี้มันจะมีในรถสปอร์ตรุ่นอื่นๆ เช่น SILVIA S14 ด้วย แต่ไม่ใช่ด้ายแดง) อันนี้มี “คนบ้า” เบิกใหม่มา พร้อม Airbag ครบชุด ส่วนอันซ้ายเป็น Series I ที่บอกตรงๆ ว่าทรงมันโคตรไม่เอาอ่าวเลย ไม่น่ามาอยู่ใน SKYLINE เป็นอย่างแรง…

– พวงมาลัยแต่ง ที่อยู่ในเหล่า Special Car สุดหายากทั้งหลาย วงซ้ายเป็น NISMO ขนาด 360 มม. ซึ่งจะเป็น “โลโกฟ้าแบบเก่า” และ “วงสักหลาด” จะอยู่ใน R33 ตัวแข่ง รวมไปถึง N1  (ไม่มี Air Bag) ถ้าทรงนี้แต่ไปอยู่ใน NISMO 400R ตัววงก็จะหุ้ม “หนังแท้” (Premium Natural Leather) ส่วนอีกอัน แบบ “ท้ายตัด” และ “วงสักหลาด” เป็นของ NISMO LM ตัวแข่ง โลโกจะเป็น NISMO แบบ “สลักลายเส้น” ลงไปที่ก้าน ไม่มีสี ให้สังเกตว่าพวกวงที่หุ้มสักหลาด มันจะเป็นของ “ตัวแข่ง” ที่มีจำนวนน้อยและหายากกว่ารุ่นวงหุ้มหนังแท้ทั่วไป และราคาไม่มิตรภาพแน่นอน เฉลี่ย “ห้าหมื่นบาท” ต่อวง เอิ๊กก…

– สำหรับ “สามสาวทีสเกิร์ต” อันซ้ายสุด เป็นวง NISMO ของแต่งที่มีขนาด 330 มม. หุ้มสักหลาด อันนี้ก็หายากอีก เน้นใส่รถแข่ง ส่วนใหญ่จะเห็นใน R32 เพราะวงมันเล็ก เหมาะกับบอดี้ที่เล็กกว่า R33 แต่ R33 ใครอยากจะซิ่งก็ไปเอามาใส่ได้ เพราะมัน “เท่” และ “หายาก” เพราะ R32 รถมันปีลึกกว่า เลยทำให้มันมีราคากว่า วงถัดมา เป็นทรงเหมือนกัน แต่ “หุ้มหนังแท้” อันนี้จะเป็นของแต่งสำหรับรถทั่วไป รวมถึง R33 แต่หลายคนก็นิยมเอาไปใส่ R32 เพราะไซส์นี้มันเข้ากว่า ซึ่งถ้าเป็นพวงมาลัยทรงนี้ จะมีไซส์ 365 มม. อีก ซึ่งเป็นวงใหญ่ ดูหรูหรามากขึ้น และ “ปุ่มแตรจะอยู่หลังก้านพวงมาลัย” เท่ดี อันนี้แหละ “บีบแตร” จริงๆโดยไม่ต้องละมือจากการจับพวงมาลัย ส่วนอันขวามือสุด จะเป็นแบบ “ก้านโค้ง” ซึ่งมีขนาด 365 มม. อันนี้เป็น “ของใหม่” แล้ว โลโกใหม่ NISMO “โอแดง” ซึ่งให้ทาง ITALVOLANTI จาก “อิตาลี” ผลิตให้ (จะมีปั๊มที่หลังก้าน) และเย็บด้ายแดง อันนี้ก็แพงเหมือนกัน สำหรับ R33 และ R34 ที่แต่งสไตล์ “โมเดิร์น” ครับ…

– อันนี้เป็นชุดแต่งสำหรับพวงมาลัย NISMO เป็นแผ่นแปะที่ก้าน ลายคาร์บอน ก็แปลกๆ ดีเหมือนกัน เพราะไม่ค่อยเห็น…

Seats  
สำหรับเบาะนั่งก็มีหลายแบบ ทั้งของเดิมเบิกใหม่ ที่ราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ ด้วยกระแสรถ 90’s มาแรง และยังมี “เบาะแต่ง” หายากต่างๆ อีกหลายรุ่น…

– เบาะเดิม Series I-II จะเป็น “เทาอ่อนแซมม่วง” ส่วน Series III จะเป็น “เทาดำแซมแดง” ครับ…

– สำหรับเบาะคู่นี้ อาจจะดูทึมๆ เทาๆ หม่นๆ โลโกอะไรก็ไม่มี จริงๆ แล้วมันเป็นของหายาก ยี่ห้อ ZELE (เซเล) หุ้ม Alcantara ซึ่งทรงมันดูเหมือนกับของเดิม R33 แต่ “ปีกผายกว่า” นิดหน่อย จะนั่งสบายกว่าของ NISMO ซึ่งถ้าให้แจ๋วจะต้องมี “ชุดเบาะหลัง” และ “แผงข้าง” เป็นโทนเดียวกันด้วย…

Intercooler
แม้ว่าจะดูว่ามันแค่ทำหน้าที่ระบายความร้อน หน้าตาดูเผินๆ มันก็เหมือนกัน แต่ถ้าดูรายละเอียดลึกๆ หน่อย “ดีไซน์” ของแต่งในแต่ละรุ่น มันมีความแตกต่างกันมาก นอกจากโลโก ซึ่งตรงนี้ต้อง “สายลึก” จริงๆ ถึงจะรู้รายละเอียด…
– ลำพังการดูโลโก NISMO บนตัวอินเตอร์ฯ มันไม่แน่หรอกว่าจะ “แท้” เพราะมัน “พ่นสีกันได้” บางทีเอาอินเตอร์เดิม RB26DETT มาทำสีเงินๆ ขัดล้างซะหน่อย พ่นโลโกใหม่ก็นึกว่า NISMO ซึ่งดูเผินๆ มันก็เหมือนกัน ซึ่งก็ “โดน” กันมาเยอะแล้ว…
– อินเตอร์ฯ NISMO ถ้าเป็นเวอร์ชันเก่าๆ จะจ้างทาง ARC ทำให้ ลักษณะเด่นของมัน คือ “หลอดสามเหลี่ยม” สังเกตง่ายๆ ตัวหลอดจะเป็น “สัน” แหลมออกมา ซึ่งเป็นสไตล์ของ ARC ถ้าเป็นรุ่นใหม่ๆ ไปจ้างที่อื่นผลิตก็จะไม่มีสันแบบนี้ และต้องมี “เพลทโลหะ” ของ NISMO กำกับ มี Serial Number บอกอย่างชัดเจน พวกนี้ปลอมยากครับ และไม่มีใครปลอมเพราะต้นทุนมันสูง และเรื่องลิขสิทธิ์ด้วย สำหรับโลโกก็จะมี 2 แบบ แบบเก่า จะอยู่ใน R32 และ R33 ส่วนโลโกใหม่ ถ้าเป็นคนแต่ง R33 แนวโมเดิร์น ก็จะใส่กัน รวมถึงการแต่งรอบคันก็จะเป็นของตรงรุ่นแต่เป็นโลโกใหม่เหมือนกันทั้งหมดด้วย ส่วนที่ว่า “ความหนา” นั้น ถ้าเป็นของที่ใช้ใน 400R ก็จะหนาถึง 4 นิ้ว ส่วน NISMO ทั่วๆ ไปก็หนา 3 นิ้ว โดยประมาณ…

Exhaust System
สำหรับอุปกรณ์ “คายไอเสีย” ของ NISMO ที่เป็นแบบ Bolt-on หรือ “ขันนอตจบ” ซึ่งเหมาะสำหรับรถที่เป็น Light Tuned โมดิฟายสเต็ปวิ่งถนนทั่วไป วิ่งแช่ยาวๆ ได้ไม่เดือดร้อน ก็ดีนะครับเพราะมันเหมาะกับ Street Tuned จริงๆ ใช้งานได้ปกติ ตอบสนองดี…
– สำหรับชุด “เฮดเดอร์” ดูเผินๆ ก็อาจจะเหมือนของเดิม เป็นเหล็กหล่อ (Cast Iron) เหมือนกัน แต่ดีกว่าด้วย “วัสดุ” ถ้าดูในรูปมันจะ “เนียน” กว่าของเดิม อันนี้จะค่อนข้างดูยากหากไม่มีการเปรียบเทียบ เพราะมันไม่ได้มีโลโก NISMO บอกแต่อย่างใด ซึ่งจุดพีคมันอยู่ที่ “รู” ด้านใน ของ NISMO จะใหญ่และ “ลื่น” เป็นโค้งสวยงามกว่าของเดิม อันนี้ต้องดูของเดิมก่อน แล้วเปรียบเทียบกันเพื่อความชัวร์…
– สำหรับชุด Front Pipe อันนี้มีโลโก NISMO หล่อมาเลย ดูง่ายครับ เพราะทั้งทรวดทรงและวัสดุนั้นต่างจากของเดิมอย่างเห็นได้ชัด อันที่เห็นนี้เป็น “โลโกใหม่” นะครับ เท่าที่ดูงานแล้วก็น่าใส่ดีเหมือนกัน สำหรับคนที่ชอบอะไรเดิมๆ หมกๆ หน่อย…

Strut Brace
– ค้ำโช้คหน้า ก็จะเป็นงาน “ไทเทเนียม” จุดเด่นของมันก็คือ “งานเชื่อมที่ค่อนข้างหยาบ” ดูของจริงจะรู้เลยว่าตะเข็บรอยเชื่อมมันจะ “โย้เย้” ไปบ้าง ในสมัยก่อนนั้นก็คงจะเป็นเรื่องปกติของการ “เชื่อมมือ” จนกลายเป็น Signature ของ “งานเก่า” โลโกก็มีสองแบบครับ มีแบบ “ลายเซ็น” กับ “โอแดง” แน่นอนว่า ถ้าสาย Conservative คงต้องเลือกอย่างแรกแบบไม่ต้องสงสัย…

NISMO “Fine Spec” Final Edition No.001 !!!
สุดยอด Rare Items ชิ้นสุดท้าย เป็นชิ้นใหญ่สุดๆ และมีค่าสุดๆ เพราะเป็นเครื่อง RB26DETT ที่ผ่านการปรุงแต่ง จนเป็น NISMO Fine Spec และที่สำคัญ เป็น “Final Edition” และเป็นตัวแรก “No.001” ที่ถูกประมูลมาอยู่ใน “ไทย” พูดถึงเครื่อง NISMO ขอทำความเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่เป็นเครื่องที่ “บ้าพลัง คลั่งแรงม้า” เป็นหลัก แต่ทำออกมาเพื่อปรับปรุงจุดด้อยต่างๆ พัฒนาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เน้นการตอบสนองที่รวดเร็ว ราบรื่น ควบคุมง่าย เร็วได้ยาวๆ ไม่พังง่ายๆ (เว้นแต่คนขับจะพลาดเองแบบไม่น่า “บ้าพลัง คลั่งแรงม้า” เป็นหลัก แต่ทำออกมาเพื่อปรับปรุงจุดด้อยต่างๆ พัฒนาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เน้นการตอบสนองที่รวดเร็ว ราบรื่น ควบคุมง่าย เร็วได้ยาวๆ ไม่พังง่ายๆ (เว้นแต่คนขับจะพลาดเองแบบไม่น่าให้อภัย แต่คงเป็นไปได้ยาก เพราะระดับลูกค้า NISMO ก็ย่อมไม่ธรรมดา) พูดง่ายๆ “ทำให้ดีเหนือกว่าสแตนดาร์ดในทุกด้าน” ก่อนอื่นขอเหลาเรื่องราวของ “Complete Engine” ของ NISMO กันก่อน ก็จะเป็นเครื่องแต่ละสเต็ป อย่างเช่น S1 หรือ S2 หมายถึง Sport 1 หรือ 2 ตามความใหม่ สเต็ปนี้ก็จะเน้นขับถนน ซิ่งได้แบบเนียนๆ โมดิฟายไม่มากนัก แต่ของ R1 และ R2 ก็จะแนวๆ “Racing” แรงม้าเยอะ โมดิฟายสเต็ปสูงขึ้น ซึ่งลูกค้าก็จะนำรถ SKYLINE GT-R เข้ามาให้ทาง NISMO จัดการ “ทำเครื่อง” ให้ตามสเต็ปที่เลือก ประมาณนี้ก่อนละกัน เพราะครั้งนี้จะเน้น Fine Spec กัน…

สำหรับ Fine Spec จะเป็นเครื่องที่ NISMO ผลิตขึ้นมาเป็น Complete Long Block ขายสำเร็จรูป จะมี “ฝาสูบ” และ “ท่อนล่าง” มา ซึ่งท่อนล่างก็จะเป็น เสื้อสูบ ลูกสูบ ปั๊มน้ำ ปั๊มน้ำมันเครื่อง N1 ฝาสูบจัดการพอร์ตใหม่ แคมชาฟต์เดิม เพราะไม่ให้รอรอบเกินไป และมีการปรับปรุงตัวเครื่องยนต์ เช่น ทางเดินน้ำ และอื่นๆ ที่เป็นจุดบอด ทำให้มันดีขึ้น แต่ส่วนประกอบรอบด้าน เช่น เทอร์โบ ท่อร่วมไอดี ฯลฯ ก็ “แล้วแต่ลูกค้าเลือก” ว่าจะเป็นของ NISMO หรืออื่นๆ ที่เราต้องการ รองรับได้ประมาณ 500-600 PS แบบเหนียวๆ ตอบสนองได้ดี สำหรับเครื่องตัวที่มีอยู่นี้ จะเป็น Version 3 หรือ Final Edition ผลิตออกมาปี 2013 จำนวน “300 ตัว” แต่ละตัวจะมี “ใบเซอร์” กำกับมาให้ และยังมี Serial Number กำกับไว้หน้าเครื่อง ถ้า “ของแท้” จะต้องมี Serial ยืนยันที่ตรงกัน และที่แน่ๆ “ใบเซอร์” ขาดไม่ได้ ตัว Version 3 จะเป็นสี “เทา” ส่วน Version 1-2 จะเป็นสี “ดำ” นั่นละครับ แค่เอามาตั้งเท่ๆ ก็มีความสุขประสาสายลึกแล้ว…

Original Series III “Last Model”
เปิดศักราชกับคันแรก ของ “คุณอ๊อด” ที่เป็น GT-R แต่ไม่ใช่ V-SPEC มาแบบเดิมๆ เก็บครบๆ รายละเอียดทำให้เหมือนกับ “ออกห้าง” ที่สุด และสำคัญเป็นรถ Last Model ซึ่ง VIN Code เช็กในเว็บ GTR Registry มาแล้ว เป็นรถปี 1998 เดือน 3 สี QM1 White ส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ก็ดูในรูปที่ Crop หน้าเว็บมาได้เลย และตอนนี้ “น่าจะเป็นคันสุดท้ายในเมืองไทย” เพราะยังไม่เจอรถแท้ที่มี VIN Code หลังกว่านี้ บอกตรงๆ ว่า “รถเดิมทำยากกว่ารถแต่ง” เพราะอะไหล่เดิมๆ มันก็จะหมดไปตามกระแสรถเดิมที่มาทั้งโลก…

ย้อนตำนาน R33 แรงสุดคันแรกในสยาม  
คันนี้เป็นของ “คุณก้อง” แห่ง Garage R อู่โมดิฟายรถชื่อดังในยุค 90 ดูเผินๆ อาจจะไม่มีอะไรมากกว่า R33 แต่งเรียบๆ แต่จุดพีคมันอยู่ที่ว่า รถคันนี้ในอดีต มือแรกเป็นของ “คุณก๋อย” ที่โมดิฟายกับ NOI ELEVEN และใช้กล่อง MoTeC โดย “จารย์ดอน” ในตอนนั้นมีแรงม้าในระดับ 700 PS ซึ่งรถคันนี้ก็ต้องถูกนำไปลงในนิตยสารรถแต่งชั้นนำต่างๆ รวมถึง XO AUTOSPORT ด้วยแน่นอน ซึ่ง คุณก้อง ก็ไปตามเจอจนได้ ตอนนั้นเปลี่ยนมือจาก คุณก๋อย ไปอยู่กับเจ้าของท่านหนึ่ง และ “จอดทิ้งไว้” ในบ้าน ไม่ขับเลย และไม่ต่อทะเบียน เลยไปเช็กต้นขั้วดู ปรากฏว่าทะเบียน 9ฬ-5112 กทม. ตรงกับรถคุณก๋อย !!! แต่น่าเสียดายที่เจ้าของคนก่อนปล่อยทะเบียนขาดไป เลยต้องใช้เลขหมวดใหม่ พอซื้อมา คุณก๋อย ได้ข่าวก็มาขอซื้อคืน แต่ก็ไม่ขาย เพราะ คุณก้อง หลงรักมันไปแล้ว…

All NISMO Rare Item “รวมของสุดเทพ”
ก็เหมือนเดิม ดูเผินๆ เหมือนแค่ใส่ล้อ แต่รู้หรือไม่ว่า “NISMO ของเทพท่วมคัน” คันนี้ของ “คุณตู่” ที่หลงใหลและคลั่งไคล้ R33 และแบรนด์ NISMO ขั้นรุนแรง จนเป็น Collector ตัวจริงคนหนึ่งในบ้านเรา และคันนี้จะแต่ง NISMO ในรูปแบบ “ของตรงยุค” ทุกชิ้น !!! ผมคงไม่ต้องฝอยกันมากนะครับ เอาเป็นว่า ดูของกันเลยดีกว่า ว่ามีอะไรที่ Surprise กันบ้าง…

Modern NISMO Style
มาถึงสไตล์ NISMO แบบ “เดิร์นๆ” กันบ้าง เป็นของ “คุณโอ๋” ที่เก็บรายละเอียดครบสุดๆ ด้วย “ของใหม่” ล้วนๆ เท่านั้น ซึ่งจะเป็น NISMO แนวใหม่ Font ใหม่ แต่ตรงรุ่น R33 ทั้งคัน ซึ่งบางอย่างก็ต้องแสวงหาเหมือนกัน โดยเฉพาะพวก “สิ่งละอันพันละน้อย” ต่างๆ ที่ NISMO มีขาย แต่คนทั่วไปอาจจะมองแค่ของใหญ่ๆ ที่ออกแขกได้ ซึ่งบางอย่างมันมองไม่เห็น แต่เพิ่มสมรรถนะได้จริง และมีการโมดิฟายเครื่องยนต์ในสเต็ป “ขับสนุก” ตื๊ดๆ ได้ ขับใช้งานจริงได้อีก…

All NISMO Pure Look
คันสุดท้ายนี้เป็นของ “เพื่อนฮัท” เจ้าเก่า ที่หันมาสะสมรถ 90 ควบคู่ไปกับ Retro ปีลึกที่รู้จักกันดี คันนี้เป็นการแต่ง NISMO ทั้งคัน ด้วยพาร์ทครบๆ และเซอร์ไพรส์ด้วย “ฝากระโปรงหน้าบานสุดท้ายที่แขวนโชว์ใน Omori Factory” และ Rare Item ต่างๆ แบบพอดีๆ แต่ต้องขอบอกกล่าวและทำความเข้าใจกันก่อนว่า รถคันนี้จะเป็นการแต่งแบบ NISMO ดูเผินๆ อาจจะคล้ายกับ 400R “แต่ความจริงไม่ใช่ 400R” นะครับ ซึ่ง เพื่อนฮัท เอง ก็บอกว่าแต่ง NISMO แต่ไม่ใช่แต่ง 400R แต่อย่างใด จึงเรียนมาเพื่อป้องกันการสับสนสำหรับผู้ที่เริ่มสนใจและหาข้อมูล…