The Legend of RWD Fun Factor “FT86 & BRZ”

 

เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี / ภาพ : ธวัชชัย กรสิทธิศักดิ์ (Slowtake)

The Legend of RWD Fun Factor “TOYOTA FT86 & SUBARU BRZ”

            สืบสานตำนาน “ขับหลังแสนสนุก”

                ในอดีต เราฝังจิตฝังใจกับรถ “เครื่องหน้า ขับหลัง” หรือ FR (Front Engine Rear Wheel Drive) ด้วยความที่มี “คาแร็กเตอร์แห่งความสนุกในการขับขี่” หรือ Fan Factor ที่ไม่ใช่แรงอะไรมากมาย แต่ “ตอบสนองดี” ทำให้คนขับสื่อสารกับรถได้ง่าย ไม่แรงเกินไปจน “เครียด” หรือ “อันตราย” เรียกว่า “คนที่พอจะมีทักษะในการขับรถ สามารถสนุกไปกับมันได้” หนึ่งในรถที่มีคุณลักษณะนี้ ยอดนิยมก็คงหนีไม่พ้น “TOYOTA SPRINTER TRUENO/COROLLA LEVIN” ในอนุกรม “AE86” ซึ่งเป็นรถที่มีเอกลักษณ์แบบ Sporty และขับคงเป็นรถขับหลังอยู่ เพราะในช่วงปีนั้น COROLLA ก็มีตัว “ขับหน้า” ออกมาขายควบคู่กันไป ดังนั้น AE86 จึงเป็นรถที่สามารถตอบสนองในลักษณะ Fun Factor ได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนราคาในขณะนั้นก็ไม่ถือว่าแพงมากเกินไป คนทั่วไปสามารถซื้อมาขับได้ แถมของแต่งมีอีกเพียบ จึงเป็นที่นิยมสูง โดยเฉพาะเป็น “รถครูแห่งการดริฟต์” ในการดริฟต์ยุคแรกๆ ของญี่ปุ่น แทบจะทุกคนต้องผ่าน AE86 มาแล้วทั้งสิ้น ก่อนจะขยับไปเป็นรุ่นใหญ่ หลังจากที่หมดยุคของ AE86 นั้น รถขับหลังขนาดเล็กสไตล์นี้ก็จะ “หายไป” จากสารบบ TOYOTA กลายเป็นรถขับหน้าแทน คงเหลือแต่รถขับหลังรุ่นใหญ่ๆ อย่าง SUPRA ซึ่งก็ “เกินฝัน” เป็นสไตล์ Heavy Weight ราคาสูง แน่นอนว่า เสียงเรียกร้องมีมาก TOYOTA หรือจะอยู่นิ่งเฉยได้ จึงต้องสร้าง “New TOYOTA 86” ขึ้นมาใหม่ เป็น Light Weight Sport Car ที่ยังคงมีความเป็น Fun Factor อยู่เต็มเปี่ยม ซึ่งเป็นการร่วมมือกันสร้างกับ “SUBARU” ที่เป็นรุ่น “BRZ” คราวนี้เราจะมาเจาะ Detail อันน่าสนใจของรถทั้งสองรุ่นนี้กันครับ…

Reborn RWD Again

หลังจากที่ห่างหายไปนาน ทิ้ง AE86 ไว้เป็นความทรงจำ TOYOTA ก็มารื้อฟื้นกันใหม่ โดยการออกแบบรถ Concept ที่เป็นสปอร์ตแบบเครื่องหน้า ขับหลัง คือ “TOYOTA FT-HS” ที่เป็นรถ Hybrid เครื่องยนต์ V6 ที่คนคิดว่ามันเป็นการกลับมาของ SUPRA และในปี 2008 TOYOTA ได้ซื้อหุ้นบริษัท Fuji Heavy Industries ที่ผลิตรถ SUBARU เป็นจำนวน 16.5 เปอร์เซ็นต์ ทาง TOYOTA นำโดย “Mr. Tetsuya Tada” หัวหน้า Project ได้ให้ทาง SUBARU มีส่วนร่วมในการออกแบบ ในรหัสแชสซี “086A” คือรู้กันว่า เอาแนวคิดมาจาก AE86 นั่นเอง ในปี 2009 ออก Concept Car มาโชว์ในงาน Tokyo Motor Show ในชื่อว่า “FT-86 Concept” สี Shoujyouhi Red ซึ่งทาง SUBARU ได้ออกแบบเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง ส่วน TOYOTA ก็จัดการเรื่องดีไซน์ต่างๆ โดยได้รับอิทธิพลมาจาก TOYOTA 2000 GT ปี 1967 ที่เป็น “สุดยอดสปอร์ตของค่าย” ตลอดกาล รวมถึงระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบ D-4S เบนซิน พร้อมระบบ Direct Injection ที่ได้ทั้งสมรรถนะและความประหยัด (รู้กันว่า SUBARU ไม่ถนัดทำรถประหยัดเอาเสียเลย) เดี๋ยวเราค่อยไปเหลากันในส่วนของเครื่องยนต์ เอาเป็นว่า เรื่อง Feature ต่างๆ ผมขอเป็น “ฉบับย่อ” นะครับ (เนื่องจาก “อ้อย คลองแปด” จะฆ่าผม อยากดูตัวจริงไปงาน Souped Up Thailand Records 2015 นะครับ) แต่จะไปใส่เต็มกับ “ข้อมูลในลิ้นชัก” ที่น่าสนใจ และมาจาก “ผู้มีประสบการณ์” เกี่ยวกับรถรุ่นนี้โดยตรงดีกว่าครับ…

 

TOYOTA FT/GT 86

ปี 2011 ณ Tokyo Auto Show ได้ฤกษ์จำหน่ายจริงของ 86 ที่เป็นรถเน้นความ “สมดุล” เป็นหลัก ด้วยขุมพลัง Boxer ที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทำให้รถมีการทรงตัวที่ดี ทำให้อาการของรถ “เป็นกลาง” สำหรับ 86 ใน “เมืองไทย” ก็จะมีทั้งผู้นำเข้าอิสระ (เกรย์) จะเป็นสเป็ก “ญี่ปุ่น” และทาง “โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด” ได้นำเข้ามาจำหน่าย อย่างเป็นทางการ เป็นรถสเป็ก “ออสเตรเลีย” โดยแบ่งเป็น 3 รุ่นย่อย ด้วยกัน ได้แก่ “Top Grade AT” จะ “พิเศษ” กว่ารุ่นอื่น คือ มีชุดพาร์ทรอบคัน และสปอยเลอร์หลังทรงสูง ไฟหน้า HID พร้อมหัวฉีดน้ำล้างโคมไฟ ส่วนไฟหรี่เป็น LED กระจกหน้ามี Top Shade ลดแสงเข้าตา ภายในใช้โทนสี “ดำ-แดง” เบาะนั่งเป็น หนัง + Alcantara สีแดงดำ เบาะคู่หน้ามีระบบอุ่นเบาะ เรือนไมล์มีทั้งเข็มและ “ดิจิตอล” วัดรอบเป็น “หน้าปัดขาว” พวกระบบอัจฉริยะต่างๆ เช่น เปิดประตู, สตาร์ทเครื่องยนต์ ระบบเกียร์มีแป้น Paddle Shift ที่พวงมาลัย มีระบบ Cruise Control เฟืองท้ายแบบ Torsen Limited Slip (แบบใช้เฟืองเป็นตัวกำหนดความฝืด) ล้อเป็นลาย 5 ก้านคู่ ขอบ 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/45R17 จานเบรกหน้ามีขนาดใหญ่ที่สุดในรุ่น ราคา “2,740,000 บาท” รองลงมา “Standard Grade AT” พวกอุปกรณ์พิเศษของรุ่น Top Grade AT จะหายไป ภายนอกเป็นเดิมๆ ภายในเป็นสีดำ ไม่มีระบบอุ่นเบาะ ชุดเกจ์วัด เรือนไมล์ เป็นพื้นสีดำ ล้อเป็นลาย 10 ก้าน ขอบ 16 นิ้ว ยาง 205/55R16 ราคา “2,560,000 บาท” และรุ่น “Standard MT” รายละเอียดรอบคันเหมือน Standard AT แต่รุ่น MT ก็จะใช้เกียร์ธรรมดา 6 สปีด แต่ดีอย่างเป็นเฟืองท้ายแบบ Torsen Limited Slip เหมือนกับรุ่น Top Grade AT สำหรับคนชอบความมันส์ในการขับขี่ และนำไป “โมดิฟายต่อ” ราคา “2,490,000 บาท” ครับ ส่วนในยุโรป จะใช้ชื่อว่า “TOYOTA GT 86” แล้วก็มี “SCION FR-S” ขอกล่าวถึงมันสักนิดพอ คำว่า “FR-S” ย่อมาจาก Front Engine Rear Wheel Drive Sport ซึ่ง SCION เป็นแบรนด์ของ TOYOTA สำหรับรถขนาดเล็กที่ขายใน “อเมริกา” และ “แคนาดา” (ถ้ารถขนาดใหญ่หรูหรา ก็ LEXUS ไงละครับ ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ “ยกระดับแบรนด์” ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ เพราะในอเมริกาถือว่าเป็นตลาดใหญ่ คู่แข่งสูง) ก็ขอละไว้ก่อนนะครับ ขอพูดถึงสิ่งที่ใกล้ตัวเราก็พอ…

 

Limited Edition of 86

แถมให้หน่อยละกัน เหล่า “ตัวพิเศษ” ทั้งหลาย ในช่วงปลายปี 2014 ถึงต้นปี 2015 ก็มีออกมาหลายตัวเหมือนกัน ถ้าเป็นฝั่ง “ญี่ปุ่น” ก็จะมี “86 TRD 14R60” มีจำนวน 100 คัน ได้เอารูปแบบมาจากตัวแข่ง GT86 TRD Griffon รุ่น 14R60 ใส่ของ TRD เยอะแยะ เช่น ช่วงล่างแบบ Half Racing, ปลายท่อคู่ “ซองแฝด” แบบ Super car, หลังคา + สปอยเลอร์หลัง เป็นคาร์บอนไฟเบอร์, พวงมาลัย + หัวเกียร์ เป็น Alcantara ด้ายเหลือง, คันเกียร์ Short Shift, เบาะ Full Bucket Seat, ลิมิเต็ดสลิปแบบ Racing, ล้อ 5 ก้าน ขอบ 18 นิ้ว เป็น “แมกนีเซียม” ด้วยนะ แต่ราคาก็สูงตามคุณค่า คือ “6.3 ล้านเยน” !!! ต่อมาเป็น “86 Style Cb” คำว่า Cb ย่อมาจาก “Cyber Stork” สไตล์ไม่คุ้นตาสักเท่าไร ภายในก็เปลี่ยนสไตล์ออกแนวหรูหรา เรือนไมล์ แผงหน้าปัด เป็นสไตล์ Woodgrain แล้วก็มี “Yellow Limited Edition” สีเหลืองสดใส ไฟหน้าและไฟท้ายเป็น Smoke Lens เพิ่มความเข้ม ภายในสีดำล้วน เย็บด้ายเหลือง ประดับคาร์บอนไฟเบอร์ ถ้าจะให้สุด ต้องเป็น “Yellow limited Edition Aero Package” แล้วท่านจะหล่อกับชุดพาร์ทสไตล์ GT (เล็กๆ) ล้อ 18 นิ้ว (ลายเดียวกับ 86 Style Cb) ช่วงล่าง SACH แบบสปอร์ต…

สำหรับตลาด “ยุโรป” ก็มีตัว Limited  เช่น “GT 86 Aero” พาร์ทชุดเต็ม และล้อ O.Z. Ultraleggera สีเทา ขอบ 18 นิ้ว และ “GT 86 Giallo” (ภาษาอิตาลี แปลว่า “สีเหลือง”) รถเป็นสี “Sunrise Yellow Metallic” ผลิตทั้งหมด “86 คัน” และส่งไปอิตาลี “50 คัน” ส่วน “GT 86 Cup Edition” ก็จะเป็นสไตล์ตัวแข่ง (Cup car) ทำเพื่อเป็นการส่งเสริมการขาย อ้างอิงกับรายการแข่งขัน VLN Endurance ตัวรถที่ขายเป็น Limited จะมีแถบสีแดงคาดตัวรถ สีตัวรถเป็น Dynamic White Pearl, Furious Black Mica, Racing Red ล้อ O.Z. Ultraleggera มีจำนวนจำกัด “86 คัน” เช่นกัน…

 

86 RC Model

RC หมายถึง Racing Model ที่ 86 ผลิตขึ้นมาเพื่อ “เป็นรถที่นำไปทำเป็นรถแข่ง” จึงเป็นอะไรที่โคตร Basic จริงๆ เพราะยังไงก็ไม่ได้สนพวกของประดับประดาอยู่แล้ว กันชนสีดำ ล้อกระทะ 16 นิ้ว ภายในธรรมดามากๆ เอาง่ายๆ ว่า “พร้อมรื้อ” นั่นแหละครับ แล้วก็มี Racing Equipment พร้อมรบ เช่น โรลบาร์, เข็มขัดนิรภัย 4 จุด, หูลากที่กันชนหน้า-หลัง, พรมพื้น 86 Racing ขอบแดง, ออยล์คูลเลอร์ ฯลฯ…

 

 

2015 Minor Change         

                สำหรับ 86 ตัวไมเนอร์เชนจ์ ก็จะเปลี่ยนรายละเอียดนิดหน่อยครับ ภายนอกก็จะเพิ่มสี “Pearl White” และ “New Silver” เสาอากาศเปลี่ยนเป็นทรง “หูฉลาม” ภายในเปลี่ยนแผงที่หน้าปัดเป็น “คาร์บอนไฟเบอร์” ระบบช่วงล่าง นอตยึดซับเฟรมทั้งด้านหน้าและด้านหลังจะเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ “เกิดความมั่นคง” และ “พวงมาลัยตอบสนองเร็วขึ้น” เซตโช้คอัพใหม่ โดยเน้น Handling ที่ดีขึ้นเป็นหลักครับ…

 

 

SUBARU BRZ

แน่นอน ขาดการกล่าวถึง “SUBARU BRZ” ไปได้อย่างไร คำว่า BRZ ย่อมาจาก “Boxer + Rear Wheel Drive + Zenith” สำหรับรายละเอียดที่แตกต่างจาก 86 ก็ขอแยกให้จะจะกันไปเลยในตอนท้ายเรื่อง สำหรับ BRZ สเป็กญี่ปุ่น จะมีขาย 4 รุ่น ด้วยกัน ได้แก่ “RA” ล้อกระทะ เป็นรถ Low Equipment ส่วน “RA Racing” จะให้อุปกรณ์พร้อมรบ ในลักษณะ “Track Ready” เช่น โรลบาร์, ชุดดักลมเป่าเบรกหน้า, เข็มขัดนิรภัย 4 จุด มาตรฐาน FIA, ออยล์คูลเลอร์พิเศษ, ช่องลมที่กันชนหน้าไม่มีตะแกรงด้านใน เพื่อให้ลมเข้าเต็มๆ แต่ยัง “มีแอร์” ให้ รุ่นถัดมา “R” มีทั้งเกียร์ธรรมดา (MT) และ เกียร์ออโต้ (AT) ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ลาย 10 ก้าน แอร์แบบ Manual ส่วนรุ่น Top คือ “S” มีทั้งเกียร์ธรรมดา และเกียร์ออโต้ ดีอย่าง SUBARU คิดถูก เอาเกียร์ธรรมดามาให้เลือกในรุ่น Top เพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องมีคนที่อยาก “โยก สับ ยัด” ให้มันได้อารมณ์กว่าเกียร์ออโต้ อุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นมาก็คล้ายๆ 86 ครับ เช่น ไฟหน้า HID, ล้อ 17 นิ้ว, กรอบคันเกียร์เป็นสีเงิน, แอร์ออโต้, ระบบ Push Start, แป้นเหยียบแบบสปอร์ต อะไรพวกนี้ ส่วนในบ้านเรา จะมีรุ่น S มาขาย ทั้ง MT และ AT ราคาล่าสุด ณ ตอนนี้ ลดจากเดิมมาเยอะเหมือนกัน เหลือ “2,130,000 บาท” และ “2,080,000 บาท” ตามลำดับ เรียกว่าถูกกว่า 86 อยู่พอสมควร…

 

tS Limited Edition  

สำหรับ BRZ ก็มีตัว Limited Edition ด้วยนะครับ คือ tS ที่ผ่านการปรุงพิเศษ จาก STi (Subaru Technica International) ให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้าน Handling เช่น ชุดพาร์ทใหม่ ดุดัน สปอยเลอร์หลังคาร์บอนไฟเบอร์ ทรง GT, เปลี่ยนช่วงล่างใหม่ เป็นของ BILSTEIN เซตให้หนึบแน่นแบบสปอร์ตเต็มพิกัด, บู๊ชพิเศษ เพิ่มความเหนียวแน่น, ค้ำต่างๆ เพิ่มความแข็งแรงของตัวถังและช่วงล่าง, ล้อ BBS สีเงิน 18 นิ้ว, เบรก BREMBO, เพลาขับมีขนาดใหญ่ขึ้น, ภายในเป็นพวงมาลัย STi Design, เบาะ RECARO STi กึ่ง Bucket Seat พนักพิงปรับได้ พร้อม Side Airbag ส่วน tS GT Package ได้สปอยเลอร์หลังคาร์บอน, ล้อ BBS สีดำ 18 นิ้ว เป็นต้น สำหรับจำนวนการผลิต ในรุ่นปี 2013-2014 จะผลิตจำนวน 500 คัน แบ่งเป็น tS และ tS GT Package อย่างละ 250 คัน…

 

2015 Minor Change  

พรรคพวกเปลี่ยนก็ย่อมต้อง “ขยับ” ด้วย (นิดหน่อย) โดยพื้นฐานก็คงเหมือนกับ 86 Minor Change แต่มีสีใหม่ “WR Blue Pearl” ซึ่งจะเข้มขึ้น แผงคอนโซลเปลี่ยนสีใหม่ แล้วก็มีรุ่น tS จะผลิตจำนวน “300 คัน” และขายเฉพาะในญี่ปุ่นอย่างเดียว…

 

Tips

สำหรับเรื่องราวต่างๆ ของ 86 และ BRZ ที่เกี่ยวข้องกันทั้งเครื่องยนต์, ระบบส่งกำลัง, การเซตช่วงล่าง และสิ่งละอันพันละน้อยต่างๆ ที่มาจาก “สายเชี่ยวชาญ” โดยตรง เชิญชมได้ดังนี้…

 

 

Engine

เครื่องยนต์ Boxer นอนยันตัวใหม่ ถ้าเป็นฝั่ง 86 ก็จะเรียกรหัสว่า 4U-GSE ส่วน BRZ ก็จะเป็น FA20 จริงๆ แล้ว ถ้าเป็น TOYOTA หลายคนอาจจะยังไม่ทราบ ว่ามีสปอร์ตขนาดเล็ก เครื่องยนต์สูบนอนมาทั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว คือ Sport 800 ตัวจิ๋ว ที่ใช้เครื่องบล็อก 2U-B แบบ 2 สูบนอน 2 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยอากาศ ดังนั้น DNA ของเครื่องสูบนอน กับรถสปอร์ตขนาดเล็กของ TOYOTA จึงกลับมาในยุคของ 86 อีกครั้งหนึ่ง เรามาดูกันว่า Tips ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเครื่องยนต์ตัวนี้ มีอะไรที่น่าสนใจ และมีอะไรที่ควร “คำนึง” กันบ้าง จะได้ยืดอายุกันยาวๆ…

 

Transmission

 

Suspension

สำหรับการเซตช่วงล่าง แม้ว่ารถจะมี Platform และรูปแบบเหมือนกัน แต่ “ฟีลลิ่ง” ที่ได้ ก็ไม่เหมือนกัน แล้วแต่เอกลักษณ์ของกลุ่มลูกค้า อย่าง 86 ก็จะเซตให้ออก Firm เป็นหลัก ตัวรถจะออก “โอเวอร์สเตียร์” ที่ค่อนข้างชัดเจน ทำให้รถมีอาการ “เลี้ยวไว” ขับสนุก และจากตัวผม “พี สี่ภาค” ที่เคยได้ลองขับ 86 Top Grade AT ก็รู้สึกว่ารถมี Response ที่ดี อาการเป็นกลาง ไม่แสดงออกสุดขั้วไปทางใดทางหนึ่ง แต่ถ้าเข้าโค้งแรงหน่อย ท้ายออกโอเวอร์สเตียร์แต่ยังควบคุมได้ นับว่าเป็นรถที่ขับสนุก ได้ออกแรงแก้กับมันบ้าง แรงพอเหมาะ แต่ถ้าจะแรงและเร็วกว่านี้ก็ต้องจัดช่วงล่างใหม่ ส่วน BRZ โช้คอัพจะออกแนว Firm เช่นกัน แต่ไปแนว “นุ่ม” กว่า 86 เล็กน้อย สำหรับการเซตสปริง ของ 86 ด้านหน้าจะนิ่มกว่า BRZ แต่ด้านหลังของ 86 จะแข็งกว่า ของ BRZ มันเลยออกอาการโอเวอร์สเตียร์ชัดเจนกว่า BRZ ที่ค่อนข้าง “เป็นกลาง” โอเวอร์สเตียร์ก็มีแต่น้อยกว่า 86 เรามีข้อมูลดังนี้ครับ…

 

ค่า Spring Rate

86 :  หน้า 23 N/mm. (131 lbs/in) หลัง 37 N/mm. (211 lbs/in)

BRZ : หน้า 27 N/mm. (131 lbs/in) หลัง 34 N/mm. (211 lbs/in)

 

Garage & Shop

จริงๆ แล้ว การโมดิฟายของรถรุ่นนี้ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็จะมีของให้เลือกซื้อใส่กันตามอัธยาศัย คนขายของก็มีหลายเจ้า เราขอแนะนำที่เน้นกับรถรุ่นนี้เยอะหน่อยก็แล้วกัน ตัวอย่างเช่น…

 

World Wide Social for 86 & BRZ

บอกได้เลยว่า “ตรึม” ครับ เพราะเล่นกันทั่วโลกและหลากหลายสไตล์จริงๆ ก็จะเน้น Community ของ “ไทย” เป็นหลักนะครับ ส่วน “นอก” ก็จะมีแนะนำที่ยอดนิยม จะเน้นไปทาง Australia และ New Zealand เพราะเป็นภาษาอังกฤษ และรถบ้านเราบางคันก็เป็นสเป็กเดียวกับสองประเทศนี้ มองแล้ว “มีความใกล้เคียง” กัน ขอแนะเป็น Guide Line ก็แล้วกันนะครับ ถูกใจอันไหนเข้าไปลองทัวร์ดู…

 

Owner & Specialist Comment

 

“เอ้ Techdesign” TOYOTA 86 (Standard MT)

                ส่วนตัวผมทำธุรกิจเกี่ยวกับการแต่งรถยนต์อยู่แล้ว เหตุที่ชอบและหันมาเล่นกับ 86 และ BRZ เนื่องจากมันเป็นรถสปอร์ตที่มีเอกลักษณ์ และราคาไม่สูงเกินไปนัก คันของผมเป็นเกียร์ธรรมดา เพราะอยากจะขับมันส์ๆ เอาฟีลลิ่งสปอร์ตหน่อยครับ ฟีลลิ่งของรถเดิมๆ ก็ถือว่าขับสนุกแล้วครับ ใช้งานได้สบาย การ Balance น้ำหนักทำได้ดีระดับ Super Car ถ้าจะโมดิฟายก็สนุกไปอีกแบบ มีของแต่งให้เลือกเยอะ แล้วแต่ความชอบและกำลังทรัพย์ แต่งได้ทั้งคันเลยครับ ทั้งสวยงามและเพิ่มสมรรถนะให้กับตัวรถ สามารถ Tuning ให้เข้ากับสไตล์การขับของเราได้ง่ายครับ…

 

 

“นิว” SUBARU BRZ (S AT)

สำหรับ BRZ ผมก็ชอบในทางเดียวกับ คุณเอ้ คือ เป็นรถสปอร์ตที่สามารถขับใช้งานได้สะดวกสบาย คล่องตัว ขับสนุก แม้ว่าจะเป็นรถเดิมๆ ก็รู้สึกว่าชอบแล้ว อีกประการ เป็นรถที่สมรรถนะดี แต่ถ้าจะขับในโหมดประหยัด มันก็ประหยัดจริงๆ ครับ วิ่งทางไกลความเร็วเดินทางปกติ ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ถึง 14 กม./ลิตร นับว่าประหยัดมากครับสำหรับรถ 200 แรงม้า ก็ต้องยกประโยชน์ให้ระบบ D-4S ครับ ส่วนการตกแต่งหรือโมดิฟายก็มี Choice ให้เลือกหลากหลายมากครับ เลยรู้สึกว่ามันสนุก…

 

Intaraphoom Special Thanks

 

รูปประกอบบางส่วนจากเว็บไซต์:  www.futurecarrelease.net, www.pressroom.scion.com, https://en.wikipedia.org, https://qabaq.com, www.forcegt.com, www.ausmotive.com, https://s3.caradvice.com.au, www.ft86club.com, www.maperformance.com, www.tune86.com, www.youngmanblog.com, https://i.ytimg.com, www.ausmotive.com, https://wpsupercar.com, https://i.wheelsage.org, www.drivenews.co.za, https://images.car.bauercdn.com, www.automobilesreview.com, www.carscoops.com, www.tune86.com