เรื่อง : อินทรภูมิ์ แสงดี / ภาพ : ทวีวัฒน์ วิลารูป
WIDELY ALTEZZA
Owner’s Wide Body Design
สุดยอดบอดี้ หนึ่งเดียวในไทย กับขุมพลังเม็ดใหญ่
สำหรับ SOUPED UP SPECIAL ฉบับนี้ ก็จะนำท่านมาชม “ของแปลก” ที่อาจจะหาชมได้ไม่ง่ายนัก ตามสไตล์ของเรา ที่จะใฝ่หาอะไรที่ “น่าสนใจ” และ “เป็นประโยชน์” ต่อผู้อ่านที่กำลังต้องการข้อมูลต่างๆ เพื่อเป็นความรู้ประจำกาย ย้อนไปสัก เกือบ 10 ปี ก่อนหน้า (ช่วงปี 2001-2002) TOYOTA ก็สร้างความฮือฮาให้กับตลาดรถยนต์ ด้วยการส่งเจ้า “ALTEZZA RS200” รหัสตัวถัง SXE10 ออกมาเรียกคะแนน บุคลิกของมัน ก็คือ “เป็นรถซีดานขนาดเล็ก ที่มีความเป็นสปอร์ตสูง” ด้วยระบบขับเคลื่อน “ล้อหลัง” ที่นักซิ่งนิยมกัน เรียกว่าสามารถนำมาแต่งต่อได้สบายว่างั้นเถอะ โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ 3S-GE Beams ขับหลัง 210 แรงม้า สุดยอดด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด นอกจากนี้ ยังมีคู่แฝดคือ LEXUS IS200 ฉายาฝรั่งเรียก “Baby LEXUS” ก็มีขายในไทยเหมือนกัน แต่เป็นเครื่อง 1G-FE 160 แรงม้า ส่วนในบ้านเรา ก็มีจำหน่ายโดยเกรย์มาร์เก็ตยี่ห้อหนึ่ง (ที่ตอนนี้หอบผ้าผ่อนหนีไปไหนก็ไม่รู้แล้ว) จำได้ว่าเป็นรุ่นเกียร์อัตโนมัติ แต่เข้ามาไม่มาก เพราะราคาค่อนข้างสูง (น่าจะ “สองล้านปลายๆ” นะ ถ้าจำผิดขออภัย เพราะนานมาแล้วล่ะ) คนทั่วไปก็หนีไปซื้อรถค่ายยุโรปในระดับเดียวกันหมด แต่คนที่ “รักจริง” ก็มีอยู่ จะเป็นเฉพาะกลุ่มที่ชอบซิ่งๆ หน่อย ไม่ชอบรถที่ซ้ำใครมาก ดังนั้น รถจึงมียอดจำหน่ายไม่มากนัก ปัจจุบันจึงไม่ค่อยได้เห็นกัน แน่นอนว่า รถที่แต่งก็จะน้อยลงไปด้วย…
- ชุดพาร์ทเจ้าของดีไซน์เอง การให้สีรถ สีล้อ ช่วยทำให้เด่นแบบสะอาดตา งานนี้ฝีมือ “น้ากรานต์” KARN FIBER
- กระจังหน้าเป็นของ TRD แบบตะแกรงรังผึ้ง อินเตอร์ HTI ติดตั้งเรียบร้อย
- โดยรวมๆ ยังเป็นทรงเดิม หางหลังทำเสร็จไม่ทันถ่ายทำ เส้นบอดี้พาร์ททำให้รถมีมิติขึ้นเยอะ
ฉีกแนวกลับมาเกิด ด้วย Wide Body ไอเดียใหม่
แต่ก็ใช่ว่าสยามจะไร้ซึ่งจอมยุทธ (พูดถูกเปล่าวะ) เจ้า ALTEZZA ที่มีบุคลิกเด่นประจำตัว ก็ยังมีผู้นำมาตกแต่งให้เฉิดฉายบนท้องถนนอยู่บ้าง สำหรับคันนี้ ก็เป็นอะไรที่ “สุดยอด” ด้วย Wide Body ที่ทางเจ้าของรถ นามว่า “โบ๊ต” ได้ดีไซน์แบบขึ้นมาใหม่ ก็เอาสไตล์ของชุดแต่งต่างๆ มารวมกัน ปรับปรุงให้เข้ากับ ALTEZZA โดยร่วมมือกับ Karn Fiber ในการ “ปั้น” ขึ้นมาสดๆ ทั้งหมดจากแบบที่ให้ไป จัดว่าเป็นบอดี้พาร์ท “ชุดเดียวในโลก” ก็ว่าได้ แต่ยังไงก็ตาม “หนึ่งเดียวในไทย” ก็พอใจแล้ว ทำให้ภาพรวมดู “โหดร้าย” ขึ้นอีกเยอะเลย แต่เป็นความโหดแบบ “สุขุม” จากสไตล์การให้สีที่เรียบๆ สไตล์ของบอดี้พาร์ทชุดนี้ ที่ออกจะกว้างใหญ่ก็จริง แต่เก็บมุมเข้าเรียบร้อย เหลาให้เนียน ถ้ามองผ่านๆ ก็อาจจะไม่รู้ว่าทำ Wide Body ขนาดใหญ่มา ก็ถือว่าเป็นอีกสไตล์ที่ดูดี และดูได้นาน…
- ภายในเดิมๆ ก็มีความสมบูรณ์แบบในระดับหนึ่งอยู่แล้ว มีรูปลักษณ์ความเป็นสปอร์ตที่น่าชม จึงอาจจะไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้ถ้าพอใจ เจ้าของรถจึงยังคงภายในเดิมๆ ไว้ เพราะต้องการความสบายอยู่ สิ่งที่เพิ่มเข้าไป จึงมีแค่เกจ์วัดของ Defi หน้าขาว ปรับบูสต์ไฟฟ้า จอฟ้า RSM สำหรับดูการทำงานของเครื่องยนต์แบบคร่าวๆ หัวเกียร์ TRD
- จอมาตรวัดจะเป็นแบบ Chrono Graph ซึ่งเป็นจุดเด่นของรถบอดี้นี้ ที่ไม่มีใครเหมือน คันนี้เปลี่ยนจอมาตรวัดทั้งอัน เป็นของ TRD ถ้าดูเผินๆ (ไม่นับโลโกนะ) ก็ยังเหมือนของเดิม แต่สิ่งที่แตกต่างคือ “วัดรอบ” ถ้าของเดิมๆ จะเป็นครึ่งวงกลมอยู่มุมซ้าย อันกลางจะเป็น “เรือนไมล์” แต่ของ TRD จะสลับกัน ตรงกลางเป็นวัดรอบ เรือนไมล์ย้ายไปอยู่ด้านซ้าย ทำให้สังเกตรอบเครื่องง่ายกว่ามาก ถูกใจขาซิ่งอย่างแน่นอน
ภายในโดดเด่น เป็นสปอร์ต ไม่ต้องทำอะไรมากก็ดูดี
สำหรับภายในของรถคันนี้ จริงๆ ก็ยังเดิมๆ อยู่แทบทั้งหมด แต่ที่เอามาเล่ากัน ก็เพราะของเดิมๆ มันมีดีไซน์ที่ “โดน” อย่างยิ่ง โดยเฉพาะ “มาตรวัด” จะเป็นแบบ Chrono Meter เหมือนกับนาฬิกาแบบสปอร์ต ที่มีหลายๆ มาตรวัดแยกกัน แต่มารวมอยู่ในวงใหญ่วงเดียวกัน ทำให้มองทีเดียวแล้วเห็นทั้งหมด สไตล์นี้ ก็จะมีผู้ผลิตวัดรอบแยกยี่ห้อต่างๆ นำมาใช้ ตัวเดียวแต่บอกได้หลายอย่าง ก็ดีครับ ไม่ต้องติดเยอะ (แต่หายี่ห้อที่ดูดีหน่อยละกัน จะได้ค่าที่เที่ยงตรงกว่า) แต่ส่วนที่เป็นข้อด้อย ที่ผู้ทดสอบได้ Comment ไว้ ก็คือ “เนื้อที่เบาะหลังน้อยหน่อย” จริงๆ ก็ไม่ได้แคบจนนั่งแล้วอึดอัด แต่ถ้าเทียบกันจริงๆ ก็แคบกว่า COROLLA ซะอีก ก็เป็นธรรมดาครับ ALTEZZA เป็นรถขนาดเล็ก ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (FR) ด้านท้ายจึงถูกกินที่ไปด้วยชุดของช่วงล่าง เฟืองท้าย เพลา อย่างช่วยไม่ได้ ไม่เหมือนกับรถขับหน้า (FF) ที่ด้านหลังไม่มีระบบขับเคลื่อนใดๆ ช่วงล่างหลังจึงใช้ชิ้นส่วนน้อย และออกแบบให้เตี้ยลง ทำให้มีพื้นที่ด้านหลังเยอะขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ ALTEZZA เพราะพฤติกรรมของคนที่ใช้รถรุ่นนี้ ไม่ใช่กลุ่ม “พ่อบ้าน แม่บ้าน” อย่างเต็มตัว ส่วนใหญ่ก็วัยรุ่นที่มีตังค์ ก็มักจะนั่งแค่คนเดียวหรือสองคน เลยไม่เป็นปัญหาตรงนี้มากนัก…
- 2JZ-GTE เทอร์โบ HOLSET HX55 เฮดเดอร์ ต๋อง เวสต์เกต ถาวร กรองอากาศ HKS หัวฉีด SARD ตบตูดด้วย TWIN POWER HKS กล่อง F-CON V PRO จูนอัพโดย “ช่างอุบ วายริ่ง” ส่วนฝาสูบ ก็ยังเดิมๆ เปลี่ยนแคมชาฟต์ HKS ขนาด 280 องศา เฟืองแคม OBX ท่อนล่างก็เปลี่ยนแบริ่งชาร์ฟ POWER ENTERPRISE นอตฝาสูบ ก้านสูบ ของ ARP เพื่อความชัวร์ในรอบสูง ระบบส่งกำลัง ก็ใช้เกียร์ของ 1JZ-GTE 5 สปีด คลัตช์ OS Giken 3 แผ่น ลิมิเต็ดสลิป TRD ตบตูดด้วยค้ำโช้ค ULTRA RACING ที่กำลังมาแรงในบ้านเรา…
2JZ-GTE สเต็ปต้น 700 ม้า
ขุมพลังเดิมๆ ของ ALTEZZA RS200 ก็จะเป็น 3S-GE Beams มีเรี่ยวแรง 210 แรงม้า ถ้าเดิมๆ ก็จัดว่าขับสนุก ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด จะมันส์ยิ่งขึ้น แต่ถ้าจะเอาแรงจริงๆ ก็โมดิฟายเพิ่มได้ คันนี้เครื่องเดิมมาก็เซ็ตเทอร์โบ เป็นชุดของ A’PEXi มาทั้งหมด ก็มันส์ในระดับหนึ่ง แต่เจ้าของรถคิดว่า “ไม่พอ” ก็เลยตัดสินใจเล่น “ของใหญ่” ของค่าย ก็คือ 2JZ-GTE กันเลยทีเดียว สำหรับการวาง 2JZ ในบอดี้นี้ จริงๆ ก็ไม่ลำบาก เนื่องจากห้องเครื่องของรุ่นนี้ ก็เผื่อไว้ใส่เครื่อง 6 สูบ มาอยู่แล้ว ก็คือ LEXUS IS200 กับเครื่อง 1G-FE ที่มีความยาวพอสมควร แต่ถ้าจะพูด จริงๆ แล้วบอดี้นี้ ก็จะมีวางเครื่อง 2JZ มาแล้วเหมือนกัน แต่เป็น “2JZ-GE” นะครับ เขียนไม่ผิดหรอกครับ บอดี้นี้แหละ เป็นเวอร์ชั่นของ “LEXUS IS300” ที่มีจำหน่ายในยุโรปและอเมริกา ในญี่ปุ่นไม่มี IS300 แต่มีตัว ALTEZZA GITA AS300 (JCE10) ที่เป็นตัวถังแบบ 5 ประตู ก็วางเครื่อง 2JZ-GE 220 แรงม้า ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าสามารถวางได้อย่างสบาย โดยไม่มีปัญหาเรื่องห้องเครื่องไม่พอ ส่วนการโมดิฟาย ก็เป็นฝีมือของ “โคยาเบิร์ด” คันนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เพราะยังทำให้ขับได้ไม่ยากนัก สเต็ปนี้ คาดการณ์เอาไว้ว่า จะอยู่ในระดับ “700 แรงม้า” ไม่น่ายาก แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ “ขึ้นแท่น” เพราะตอนถ่ายทำยังไม่ได้จูน เลยไม่มีกราฟแรงม้ามาฝากกันครับ…
- ล้อ TE37 ขนาด 9.5 x 18 นิ้ว ทั้งสี่ล้อ ยาง NITTO EXTREME ZR ด้านหน้า 235/40 R18 ถ้าเทียบกับขนาดความกว้างล้อ ก็จัดว่า “ยางหน้าแคบกว่ามาตรฐานกระทะล้อ” ก็ทำให้แก้มเบ่ง ส่วนด้านหลัง 265/35 R18 อันนี้ “เข้าแก๊บ” พอดี ชุดเบรก ARISTO แต่นำสติกเกอร์ BREMBO มาแปะไว้ ส่วนช่วงล่างใช้ของ KW ที่ บ. ยูโรโมทีฟ เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย
เรื่องของ “ยาง” กับ “ล้อ” ไม่แมทช์ก็ “เป็นเรื่อง” ได้
สำหรับเรื่องของยาง ถือเป็นของที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นเพียง “ส่วนเดียว” ของรถยนต์ ที่สัมผัสกับพื้นถนน (ไม่นับรวมพวก “ลังกาหลัง” โชว์ เอาหลังคาสัมผัสพื้นนะครับ) ทำช่วงล่างมาดีๆ แต่ “ยางห่วย” มันก็ไม่ได้ผลอะไร แถมอันตรายด้วย ก็อยากจะฝากไว้ว่า ให้ความสำคัญกับเรื่องของ “สภาพยาง” มากๆ นะครับ ส่วนใหญ่เห็นทำอย่างอื่นแพงได้ แต่ดันใช้ยางไม่ดี หรือยางที่ “เสื่อมหรือหมดสภาพ” ทั้งหลายแหล่ เป็นเรื่องที่อันตรายมากนะครับ โดยเฉพาะรถที่มีแรงม้ามาก ต้องลงทุนยางใหม่ ที่มีสมรรถนะสูงไว้ก่อน มันจะแพงหน่อยก็ไม่เป็นปัญหามั้ง เห็นคนแต่งรถระดับแรงๆ ก็ “เหลือ” ด้วยกันทั้งนั้น หากขี้เหนียวใช้ยางหมดสภาพ บัดเดี๋ยวจะกลายเป็น “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” ไม่คุ้มกันกับทรัพย์สินและชีวิตที่มีค่ายิ่งของเราครับ…
เอาล่ะครับ แพ่มเรื่องอื่นบ้าง ในครั้งนี้ ทางเจ้าของรถ ได้ Request มาด้วยตัวเอง ว่า “พี่ช่วยลงเรื่องขนาดยางกับกระทะล้อให้หน่อยครับ ว่าจะต้องใช้ยังไงถึงจะเหมาะ” อืม เป็นไอเดียที่ดีมากๆ เลยครับ เพราะว่าส่วนใหญ่อาจจะยังมีการเข้าใจผิด ไม่เข้าใจ ลังเล ในการเลือกขนาดยาง เพราะถ้าเลือก “พลาด” มันจะกลายเป็นผลเสียที่ไม่น่าเสี่ยงทันที ยางดีๆ จะเสื่อมสมรรถนะก็คราวนี้แหละ ตรงนี้เป็นเนื้อที่ที่ผมจะให้ข้อมูลว่า “เลือกยางให้เหมาะกับความกว้างของล้อที่จะใส่” ว่าอย่างไรถึงจะเหมาะสม โดยพิจารณาจากตารางที่แนบให้มานี้เป็นเกณฑ์ ซึ่งเป็นมาตรฐานของบริษัทผลิตยางรถยนต์โดยตรง เค้าจะบอกหมดเลยครับ เชิญทัศนาได้พร้อมถ้อยคำฝอยใต้ภาพ…
- ส่วนหนึ่งของตารางที่บอกขนาดและสเป็กของยางแต่ละขนาด ก็มีหลายอย่างครับ อย่างเส้นผ่าศูนย์กลางยาง ความกว้างหน้ายางโดยแท้จริง (ยางแต่ละยี่ห้อ ความกว้างที่แท้จริงของหน้ายางจะไม่เท่ากันนะครับ แม้จะเป็นยางเบอร์เดียวกันก็ตาม) ส่วนแรงดันลมยาง ในตารางจะบอกไว้เป็น “แรงดันลมยางที่สามารถใช้รับน้ำหนักได้สูงสุดต่อยางแต่ละเส้น” ไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องสูบลมเท่าในตารางเสมอนะครับ ก็อยู่ที่น้ำหนักรถโดยแท้จริง และลักษณะการขับขี่ด้วย รถแต่ละคัน แต่ละรุ่น ก็ย่อมมีลมยางที่ไม่เท่ากัน ส่วนที่เราจะพูดถึงก็คือ “ความกว้างของหน้ายาง กับกระทะล้อ” ก็ไล่ดูขนาดยาง และขนาดของล้อที่คุณใช้งานอยู่ ว่าตรงตาม “มาตรฐาน” หรือไม่ แล้วก็จะมีขนาดที่ “ใช้แทนกันได้” ถ้าอยู่ในระหว่างนี้ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้ามากหรือน้อยไปกว่านั้นก็เริ่มไม่ดีแล้ว ข้อมูลเพิ่มเติม เข้าไปที่เว็บไซต์ของ www.bridgestone.co.th. มีรายละเอียดน่าสนใจเกี่ยวกับยางอีกเพียบ
ควรดู ควรรู้ ข้อเสียของการใช้ยางผิดขนาดกับความกว้างกระทะล้อ
พาดหัวมาก็พอจะรู้แล้วนะครับ ว่ามันมีแต่ “ข้อเสีย” อย่างแน่แท้ คงไม่มีข้อดีกับยางที่ผิดขนาดกับความกว้างของกระทะล้ออย่างแน่นอน ซึ่งผมได้ไปสอบถามทางร้านจำหน่ายยางที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง เพื่อนำมาเป็นข้อมูลกับผู้ที่สนใจ เพื่อให้การเลือกขนาดยางให้เหมาะสมกับขนาดความกว้างของล้อที่เราจะใส่ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้ยาง ไหนๆ ซื้อยางแพงๆ มาแล้ว ก็ใช้ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ใช้ผิดขนาดราคามันจะหายไปกว่าครึ่ง โดยจะแบ่งเป็นข้อๆ ดังนี้…
ยางหน้าแคบกว่ามาตรฐานของกระทะล้อ
- การทรงตัวแย่ลง : เหตุมาจากว่า “ยางไม่แนบเต็มหน้ากับพื้นถนน” อันนี้ชัวร์ เมื่อเราใส่ยางหน้าแคบกว่ากระทะล้อ แก้มยางจะถูก “รั้ง” ขึ้นมากผิดปกติ เพราะหน้ายางที่แคบเกินไป ความกว้างของมันจะไม่พอกับหน้ากว้างล้อ มันก็จะถูกขอบล้อที่กว้างเกินไป “ดึงขอบแก้มยาง” อยู่ สังเกตว่า แก้มยางจะ “เบ่ง” มากจนผิดรูป จากที่แก้มควรจะเป็น “เส้นตรง” กลับเป็น “เส้นโค้งออกนอก” ดูเผินๆ เหมือนยางมอเตอร์ไซค์ (แต่ยางมอเตอร์ไซค์ แก้มจะตรงปกตินะครับ เพียงแต่ “บ่า” มันโค้งมาก เพื่อเอาไว้รับตอนเทโค้ง) ยิ่งแฟชั่นสมัยนี้ จะนิยมใส่ล้อขอบกว้างๆ แต่ใช้ยางหน้าแคบ เพื่อดึงให้แก้มรั้ง ให้มันเต่งๆ บวมๆ กวนๆ ไว้ก่อน ตรงนี้ก็ต้องเลือก ถ้าจะเอาแฟชั่นสวยแปลก ก็ต้องยอมครับ เพราะรถประเภทนี้ก็จะเน้นขับเฉิดฉาย ไม่เน้นความเร็ว มันก็พอได้ครับ แต่ถ้าจะเอาสมรรถนะการยึดเกาะ มันก็จะไม่ได้เต็มที่เท่าที่ควรจะเป็น คุณลองสังเกตดูครับ ขอบยางที่ถูกรั้งขึ้นไป มันจะดึง “บ่ายาง” ลอยตามไปด้วย หน้าสัมผัสกับถนนจะ “ไม่เต็ม” ตอนเข้าโค้ง บ่ายางที่ควรจะแนบกับพื้นถนน มันก็ไม่แนบ และแก้มยางที่ควรจะเป็น “แนวตรง” เพื่อรับแรงและน้ำหนัก กลับเป็นแนวโค้งสอบเข้าอีก ทำให้จุดรับแรงเสียไป ก็เลี้ยวโค้งไม่มั่นคง ทางตรงก็ไม่มั่นคงเท่าที่ควร อาจจะมีอาการ ร่อน ส่าย (ไม่ใช่ Coyote นะครับ) แล้วแต่ว่าเราใส่แคบมากเกินมาตรฐานไปเยอะแค่ไหน…
- มีอาการแข็งกระด้าง ร่อน ไม่เกาะถนน ในทางไม่เรียบ : “ทางไม่เรียบ ขรุขระ เป็นลอนคลื่น” แก้มยางที่ถูกรั้งมากๆ จะไม่เหลือการยืดหยุ่น ทำให้เกิดอาการ “แข็งกระด้าง” ยางไม่ซับห่อแรงจากถนน ว่ากันตรงๆ ทื่อๆ ขับแบบถนนไม่เรียบ เป็นลอนคลื่น ปกติแล้วยางจะต้องห่อซับแรงกระแทกไว้ในระดับหนึ่ง แต่พอเจอหน้ายางไม่เต็ม แก้มยางแข็งๆ มันก็จะลอยข้ามลอนไม่เรียบนั้นไป ร่อนไปมา การเกาะถนนด้อยลง โดยเฉพาะยางที่ซีรีส์ต่ำ (Low Profile) มากๆ จะยิ่งเกิดปัญหาถ้าแก้มถูกรั้ง เพราะเนื้อที่รับแรงเหลือน้อยมากๆ ที่แน่ๆ บ้านเราผิวถนนแย่ จะเป็นลอนคลื่นขรุขระตลอด ก็เอาง่ายๆ ขนาดทางด่วนยังไม่เรียบเลย พี่น้องเอ๊ย ก็ต้องทำใจและขับช้าๆ หากรักจะเล่นกับยางแก้มเต่งแก้มเตี้ยแบบนี้…
- บ่ายาง หน้ายาง สึกหรอเร็วผิดปกติ : สำหรับ “การสึกหรอ” ของยางลักษณะที่ถูกรั้งแบบนี้ ก็จะไม่ปกติเหมือนเดิม การสึกหรอจากตรงกลางหน้ายางจะไปก่อนเลย เพราะมันรับแรงมากอยู่จุดเดียว (เพราะบ่ามันลอยอยู่) วิ่งเร็วๆ จะ “เกิดความร้อนที่ยางสูง” เพราะน้ำหนักที่ถูกกดอยู่จุดเดียว จะมีการเสียดสี และความร้อนเกิดขึ้นมากกว่าการรับแรงแบบ “เฉลี่ยเต็มหน้ายาง” อย่างปกติ ทำให้ยางเสียหายเร็ว ลมยางร้อนจัดจนขยายตัวมากเกินเหตุ แรงดันลมยางสูงเกินไปจนทำให้ยางแข็งกระด้าง ขับไม่ดี โครงสร้างยางเสียหายง่ายกว่าปกติ…
- การป้องกันขอบกระทะล้อด้อยลง : ปกติแล้วยางรุ่นใหม่ๆ ที่เป็นขอบโตๆ หน่อย จะมี Rim Guard คอยปกป้องขอบกระทะล้อ เวลาเบียดถูกสิ่งต่างๆ (ในระดับหนึ่งนะ ถ้าแรงๆ ก็ไม่อยู่เหมือนกัน) ปกติขอบยางจะยื่นมากันขอบล้อ แต่ถ้าแก้มยางที่รั้งมากๆ ตรงขอบนี่จะ “ปลิ้น” แบะออก ขอบล้อก็โผล่ออกมาทักทาย ก็ไม่ต้องบอกนะว่าไปเจออะไรเข้าแล้วมันจะเข้าเลยหรือไม่ และถ้าใส่ยางเล็กมากเกินไป จนรั้งขอบแบบน่ากลัว ขับเข้าโค้งแรงๆ ก็ยังเสี่ยงต่อ “ยางหลุดขอบ” ด้วย…
ยางหน้ากว้างกว่ามาตรฐานของกระทะล้อ
- การทรงตัวก็ใช่ว่าจะดี มีสิทธิกระด้างได้เหมือนกัน : จริงๆ การใส่ยางหน้ากว้าง แรกๆ มันดูจะดีนะ เพราะยางหน้ากว้างก็ได้เรื่องการยึดเกาะถนนที่ดี เพราะเนื้อที่ในการยึดเกาะของหน้ายางมันมีมาก แต่ทั้งนี้ ถ้าใส่ยางหน้ากว้าง “เกินไป” จากความกว้างของล้อที่เราใส่ มันมีสิทธิจะกลายเป็น “เกาะถนนด้อยลง” กว่ายางที่ “มีหน้ากว้างเหมาะสมกับล้อ” ได้เหมือนกัน เมื่อยางหน้ากว้างเกินล้อ แก้มยางจะไม่ถูกรั้งแล้ว แต่จะ “ถูกบีบ” แทน แก้มยางก็จะไม่อยู่ในแนวตรงเช่นกัน การรับน้ำหนักและการยืดหยุ่นก็น้อยลงไป ก็ทำให้เกิดอาการแข็งกระด้างได้ อีกทางหนึ่ง ก็จะเกิดอาการ “ย้วย” ได้อีกเอาว่าถ้าแก้มยางไม่อยู่ในแนวปกติ มันก็จะมีปัญหาลักษณะนี้เกือบทั้งหมด…
- บ่ายาง แก้มยาง เสียหายเร็ว : หน้ายางก็กินไม่เต็มหน้า ผลที่ได้มาก็ตรงข้ามกับหัวข้อตะกี้ งานนี้ตรงกลางจะไม่ค่อยสึกแล้วล่ะ เนื่องจากหน้ายางมัน “ห่อ” เพราะเจอ “บีบแคบ” เข้าเกินกว่าปกติ ตรงกลางหน้ายางจะลอยขึ้น “แก้มยาง” และ “บ่ายาง” เลยต้องรับภาระหนักแทน ก็จะทำให้เสียหายเร็วกว่าปกติด้วย บางทีก็แก้ด้วยการ “สูบลมแข็ง” เพื่อให้แก้มยางย้วยน้อยลง หรือดันให้ยางพองออกมาเพื่อชดเชยกัน มันก็เป็นวิธีแก้ผ้าเอาหน้ารอดได้ระดับหนึ่ง แต่สูบลมแข็งๆ ก็เจอความกระด้าง ร่อน ไม่เกาะถนน โครงสร้างยางเสียเร็วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงไม่เกิดผลดีแต่อย่างใด…
- ความร้อนที่แก้มยางและบ่ายางสูง : จากการที่แก้มยางไม่อยู่ในแนวปกติ ตอนวิ่งเร็วๆ ทั้งแก้มยาง และบ่ายาง ถูกกดมากกว่าจุดอื่น ทำให้รับภาระมากผิดปกติ ก็จะทำให้เกิดความร้อนสูง (ลักษณะนี้คล้ายๆ กับกรณี “ลมยางอ่อน” นั่นเอง) เสี่ยงกับการ “ระเบิด” ได้ เพราะแก้มยางคือส่วนที่ต้องมีการยืดหยุ่นสูง และรับน้ำหนักรถด้วย ถึงบอกไปว่า ถ้าแก้มยางไม่อยู่ในสภาวะปกติ ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม การรับแรงก็จะเสียไป ทำให้การทรงตัวไม่ดีอย่างที่น่าจะเป็น…
- ยางหน้าของคันนี้ เบอร์ 235 แต่ใช้กับกระทะล้อที่กว้างถึง 9.5 นิ้ว ยางเล็กว่ามาตรฐานไปเยอะ จึงเกิดการ “แก้มรั้ง” หุบใน อันนี้ก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยนภายหลัก โดยใช้ล้อที่แคบลงเหลือ 8.0-8.5 นิ้ว ก็จะได้มาตรฐานพอดี
- เบลล์ กะ โบ๊ต สองพี่น้องที่ปลุกปั้นคันนี้ขึ้นมา
COMMENT : “โบ๊ต” กานต์ “เบลล์” บดินทร์ กิติไพจิตร
เหตุผลที่ซื้อ ALTEZZA มาทำ แรกเริ่มจริงๆ แล้วชอบสีคันนี้ (คันนี้ก็ยังใช้สีเหลืองแบบเดิม) ก็เลยซื้อมา และส่วนตัวชอบว่ามันแปลกดี ไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก ก็เลยคิดว่าอยากจะทำอะไรที่แปลกใหม่และไม่ซ้ำใคร ประกอบกับเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ที่สามารถวางเครื่องแรงๆ ได้ ดูรวมๆ ก็น่าใช้ดีเลยซื้อมาทำ ตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะทำตามคอนเซ็ปต์ที่วางไว้ ตั้งแต่ โป่ง ล้อ สี ทุกอย่างทำตามกำหนด ที่สำคัญคือ ต้องขับบนถนนได้โดยไม่ลำบาก วิ่งควอเตอร์ไมล์บ้างแบบขำขำ ก็พอใจมากๆ ครับ แม้จะใช้เวลาทำนานกว่า 1 ปี ก็ตาม เหนื่อยพอสมควร คันนี้จริงๆ ทำให้น้องชาย (เบลล์) ขับครับ เขาอยากได้อะไรก็ทำให้ ก็มีการนำมาขับทุกเมื่อหากมีโอกาส แต่ก็ต้องเลือกทางไปนิดนึง เพราะชุดพาร์ทมันค่อนข้างเตี้ย อาจจะเสียหายได้ถ้าไม่ระวัง แล้วก็เหลือการจูนกล่องเป็นขั้นสุดท้าย ท้ายสุดก็ขอขอบคุณ “ป๊ากะแม่” ที่สนับสนุน “โคยาเบิร์ด” FAST HUNTER กับระบบเครื่องยนต์ “ช่างบั๊มพ์ พระประแดง” ทำสี “ช่างอุบ วายริ่ง” จูนกล่อง “RACE PROOVE” เซอร์วิสรอบคัน เดินสายไฟห้องเครื่อง และ “กาน ไฟเบอร์” กับบอดี้พาร์ทสวยๆ ตามใจผมครับ…
COMMENT : อินทรภูมิ์ แสงดี
รถคันนี้ก็จะมีสไตล์การตกแต่งที่แปลกดี เพราะปกติ ALTEZZA ในไทย ก็ไม่มีใครทำลักษณะนี้มาก่อน ที่ชอบก็คือ “ความเรียบร้อย” ในภาพรวมของตัวรถ ชุดพาร์ทออกแบบได้ดี กลมกลืน และดูสะอาด ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการแต่งรถ ส่วนอื่นๆ ก็เป็นไปตามความต้องการของเจ้าของรถ คงไม่มีอะไรมากครับ โดยรวมก็โอเคอยู่แล้ว ท้ายสุดก็ขอขอบคุณ “โบ๊ต & เบลล์” เจ้าของรถ และ “โคยาเบิร์ด” ที่แนะนำรถคันนี้ให้…
Source : FAST HUNTER 081-565-5889, KARN FIBER 081-310-2020, บ. ยูโรโมทีฟ (ULTRA RACING + KW + K SPORT) 089-220-7372